RedCyberClub Forum
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

เรื่องร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทย…คงเป็นอาถรรพณ์จาก Blue Diamond ของซาอุแน่ๆ

Go down

เรื่องร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทย…คงเป็นอาถรรพณ์จาก Blue Diamond ของซาอุแน่ๆ Empty เรื่องร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทย…คงเป็นอาถรรพณ์จาก Blue Diamond ของซาอุแน่ๆ

ตั้งหัวข้อ by dimistry Thu Feb 04, 2010 4:11 am

ใครอมไว้ก็คืนเขาไปเถอะครับ…อะไรๆจะได้เป็นไปในทางดีขึ้นบ้าง หากติดขัดว่าจะคืนยังไงเพราะอายไม่อยากให้ใครรู้…มันก็มีหลายวิธีที่คืนได้โดยไม่ให้มีใครรู้ว่าใครคืน เก็บเอาไว้ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยเหมือนกับซ่อนก้อนหินดีๆนี่เอง จะเอาไปขาย จะเอามาใส่ก็ไม่ได้ ยิ่งหากเชื่อถือโชคลางเพราะเจ้าของเพชรเขาสาปแช่งไว้ ก็ยิ่งจะทำให้ตรอมใจขึ้นไปอีก

คืนเขาไป…อย่างน้อยความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศก็จะได้รื้อฟื้นขึ้นมาเต็มรูปแบบ คนของเราก็จะได้ไปขายแรงงานที่นั่น นำรายได้เข้าประเทศ การค้าขายก็จะติดต่อกันได้อย่างสะดวกเขาคงไม่เหมาเอาไปหมดว่าคนไทยขี้ลักขี้ขโมยเพราะไม่ว่าที่ไหนในโลกก็จะมีคนชั่วทั้งนั้น เพื่อแลกกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ยอมสูญเสียอธิปไตยบ้าง
โดยยอมให้เขามาตรวจค้นหาทุกตรางนิ้วในประเทศ จนกว่าเขาจะพอใจ ถ้ายอมให้เขามาสืบเสาะค้นหาจนหนำใจ หากพบเขาก็ได้คืน(งามหน้าประเทศไหมล่ะ) หากไม่พบเขาก็จะคิดว่ามันติดตามยากอย่างนี้นี่เอง รัฐบาลไทยกี่รัฐบาลมาแล้วถึงไม่มีปัญญาติมตามหาคืนให้เขาได้ แม้คนที่เกี่ยวข้อง ตายไปก็มี ติดคุกไปก็มี คนของเขาที่พอจะรู้เบาะแส ก็ถูกฆ่าตายก็มี งานนี้ค้นหาได้ไม่ได้ เขาก็ต้องยอมรื้อฟื้นสัมพันธ์ภาพให้ดีขึ้นเหมือนเดิมหรือกว่าเดิม
ว่าแต่ว่า…เราจะยอมเขาอย่างนั้นได้ไหมล่ะ…ใครที่อมไว้คงจะช๊อกตายแน่ๆ
กูละเบื่อ…โรคนั้น..โรคนี้กุ้มรุมทำร้ายกูไม่หยุดหย่อน…ยังจะมาหาเรื่องให้กูช๊อกตายเร็วขึ้นอีก
ไม่น่าเลยกู…จะทำยังไงดีเนี่ย….

***เชิญอ่านเรื่องราวของของบูลไดมอนด์ครับ ตื่นเต้นและก็น่ารู้ ที่มาตามลิงค์ครับ

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=offway&month=14-03-2008&group=13&gblog=9

หากจะกล่าวถึงคดีดังที่มักจะถูกนำขึ้นมา “ ตีปี๊บ” กันทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล คงต้องยกให้ “คดีประวัติศาสตร์” ที่นำไปสู่ปมบาดหมางที่ยากประสานระหว่างประเทศไทย กับซาอุดิอาระเบีย อย่าง “คดีเพชรซาอุฯ” เพชรอาถรรพณ์ แห่งราชวงศ์ไฟซาล ที่จนป่านนี้เวลาผ่านไปกว่า 19 ปี ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ผมเลยไปลองค้นเรื่องราวมาให้อ่านกัน...คับ

เวลากว่า 19 ปีแล้วที่ "อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ" ยังไม่ตายไปจากโลกนี้ง่ายๆ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2549 พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ หนึ่งใน "ตัวละครเอก" ของตำนานเพชรซาอุฯ ก็ยังสลัดอิทธิฤทธิ์ของเพชรแห่งราชวงศ์ไฟซาลไม่พ้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษา "ประหารชีวิต" ในคดี "อุ้มฆ่าสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์" หลังจากศาลชั้นต้นเคยพิพากษา "จำคุกตลอดชีวิต" ไปเมื่อหลายปีก่อน

คำพิพากษาประหารชีวิตเล่นเอาอดีตมือปราบพระกาฬเจ้าของฉายา "สิงเหนือ" ถึงกับคอตกอีกคำรบ และต้องกลับบางขวางเพื่อลุ้นผลการพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกาอีกครั้ง !!!

ชะตากรรมของ พล.ต.ท.ชลอ เป็นเครื่องพิสูจน์อีกครั้งว่า อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด เพราะใครก็ตามที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ต้อง "มีอันเป็นไป" เกือบทุกราย

เริ่มจาก นายเกรียงไกร เตชะโม่ง หนุ่มเมืองรถม้า จ.ลำปาง ซึ่งเดินทางไปทำมาหากินเพื่อหวังขุดทองในผืนทะเลทรายแห่งตะวันออกกลาง แต่ลึกๆ เขาก็ไม่ได้คิดจะไปร่ำรวยจากค่าแรงเหมือนคนงานคนอื่นเท่าใดนัก แต่คาดหวังจากการเสี่ยงดวง "เล่นไฮโล" เสียมากกว่า เพราะนิ้วมือของเขานั้น "ฝังแม่เหล็ก" ไว้ทั้งสองข้าง และเมื่อผ่านเครื่องเอกซเรย์โลหะก็จะมีสัญญาณเตือนดังขึ้นทุกครั้ง

ทว่า โชคชะตากลับชักพาไปไกลกว่านั้น เมื่อเขาถูกทาบทามให้เข้าไปทำงานในพระราชวังของกษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย และนั่นคือปฐมบทแห่ง "มหากาพย์เพชรซาอุฯ"...

วันนั้น...ในพระราชวังอันโอ่อ่า แต่น่าแปลกที่ข้าราชบริพารต่างเร้นกายหายหน้าไปเกือบหมด นายเกรียงไกรจึงฉวยโอกาสอันล้ำค่าสำรวจดูทรัพย์สินภายใน และต้องตกตะลึงกับเครื่องเพชรนิลจินดา ซึ่งประเมินได้คร่าวๆ ว่าคงขายได้หลายตังค์อยู่ แต่เขาคงนึกไม่ถึงว่าจะมีค่ามหาศาลเพียงใด จึงวางแผนฉกเพชรมาได้ถึง 2 ครั้ง และผ่านด่านศุลกากรของทั้งสองประเทศมาได้อย่างง่ายดาย

ไม่นานทางการซาอุฯ ก็รู้ว่า เครื่องเพชรอันประเมินค่ามิได้ถูกหนุ่มคนงานไทยโจรกรรมออกมา จึงประสานมายังรัฐบาลไทยให้ติดตามเพชรประจำราชวงศ์ส่งคืนโดยเร่งด่วน

พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ อธิบดีกรมตำรวจ (ในขณะนั้น) จึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ผู้เคยรับผิดชอบพื้นที่ในเขตภาคเหนือออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่ทางการซาอุฯ

จากนั้น "อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ" ก็เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์ เมื่อนายเกรียงไกร ถูกชุดสืบสวนของ พล.ต.ท.ชลอ จับกุม และนำมารีดจนยอมคายเพชรออกมา แถมยังบอกด้วยว่ามีใครรับซื้อไปบ้าง เนื่องจากกลัวว่าจะถูกจับส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ซึ่งมีโทษเพียงสถานเดียว คือ "แขวนคอ"

การจับกุมนายเกรียงไกร ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ เริ่มกระเตื้องขึ้นมาบ้าง โดยมือปราบอย่าง พล.ต.ท.ชลอ ได้รับการยกย่องจากทางการซาอุฯ ให้เป็นแขกพิเศษ แถมยังถูกยกให้เป็น "ชี้ค" อีกด้วย

หลังจากนั้น ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ (ในสมัยนั้น) ได้เดินทางไปเยือนซาอุฯ อย่างเป็นทางการ แต่กลับต้องหน้าแตกหมอไม่รับเย็บเมื่อถูกฝ่ายซาอุฯ ตอกกลับเอาเจ็บๆ ว่า

"คุณเอาเพชรปลอมมาคืน แถมชุดที่เหลือยังหายไปอีกมาก แบบนี้แล้วเราจะสานความสัมพันธ์กันได้อย่างไร"

ประโยคอมตะดังกล่าวเล่นเอา "วงแตก" จนฝ่ายไทยต้องตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาหาเพชรกันอย่างพลิกแผ่นดิน โดยสั่งให้เริ่ม "ย้อนรอย" ตั้งแต่ชุดทำงานของ พล.ต.ท.ชลอ เพื่อติดตามว่าเพชรไปอยู่ในมือใคร โดยมุ่งเน้นไปที่เส้นทางการซื้อขายเพชรเพื่อตรวจสอบดูว่า เพชรน่าจะอยู่ในมือใครบ้าง

การย้อนรอยครั้งนี้เองที่ทำให้ พล.ต.ท.ชลอ เริ่มเจออิทธิฤทธิ์ระลอกแรกของเพชรซาอุฯ!

กลุ่มบุคคลที่ "ถูกจับตา" เป็นรายต่อมา คือญาติๆ ของ พล.ต.อ.แสวง แต่ภายหลังเมื่อมีการตรวจสอบก็ไม่พบว่ามีมูลความจริงแต่อย่างใด

นอกจากนี้ นักการเมือง ตลอดจนคุณหญิง คุณนาย และ "คนมีสี" หลายคนก็ถูกกล่าวหาว่ามีการจัด "ปาร์ตี้เพชรซาอุฯ" ในสโมสรแห่งหนึ่ง กระทั่งพลอยถูกหางเลขไปด้วย

ระหว่างนั้น นายโมฮัมหมัด ซาอิค โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ก็ลงมือว่าจ้าง "ชุดสืบสวนพิเศษ" เพื่อแกะรอยอย่างลับๆ ว่า เพชรซาอุฯ อยู่ในมือใครบ้าง
สำหรับเพชรชุดที่ทางการซาอุฯ ต้องการมากที่สุด คือ "บลูไดมอนด์" ซึ่งนายเกรียงไกรสารภาพกับนายโคจาว่าได้โจรกรรมมาจริง แต่จำไม่ได้แน่ชัดว่าอยู่ในมือใครระหว่างพ่อค้าเพชรกับชุดจับกุม

สาเหตุที่เพชรล้ำค่าชุดนี้ทางเชื้อพระวงศ์ของซาอุฯ ต้องการได้คืนมากที่สุด เนื่องจากเป็น "เพชรอาถรรพณ์" แม้กระทั่งช่างที่เจียระไนก็ต้องมีอันเป็นไปสาบสูญไปจากโลก จึงเป็นเพียงเพชรชุดเดียวที่มีอยู่ในโลก และไม่ว่าจะตกไปอยู่ในมือใคร กษัตริย์ซาอุฯ ก็จะจำได้เสมอ เพราะมีการทำตำหนิไว้ด้วย "แสงอินฟราเรด" อยู่ภายในใจกลางของเม็ด แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครหาพบ!?

ระหว่างที่ตามหาเพชรบลูไดมอนด์กันอยู่นั้น ก็เกิดเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุฯ ต้องเลวร้ายลงอีกครั้ง เมื่อเกิดคดี "ฆ่าเจ้าหน้าที่ทูตซาอุฯ" และยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้จนบัดนี้ !?!?

สองคดีบันลือโลกนี้เองที่ทำให้ฝ่ายไทยกระอักกระอ่วนใจมาตลอด เพราะเมื่อใดก็ตามที่นายโคจามีโอกาสได้พบกับตัวแทนระดับสูงฝ่ายไทยก็มักจะทวงถามอยู่เนืองๆ ว่า

"ช่วยตามเพชรบลูไดมอนด์กับคนร้ายที่ฆ่าคนของซาอุฯ ให้หน่อย"

ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุฯ ก็เริ่มเกิดแสงสว่างรำไรขึ้น เมื่อนายเกรียงไกรกล่าวพาดพิงถึงพ่อค้าเพชรย่านสะพานเหล็ก ชื่อ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ โดยซัดทอดว่า นายสันติได้ซื้อเพชรไปจากนายเกรียงไกรเป็นจำนวนมาก รวมหลายครั้งด้วยกัน
นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคดีสะเทือนขวัญ "อุ้มฆ่าสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์"

กระทั่งล่วงมาสู่ยุคที่มีอธิบดีกรมตำรวจชื่อ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ จึงเริ่มมีการติดตามเพชรซาอุฯ อีกครั้ง โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ชลอ และ พล.ต.ท.โสภณ สวิคามิน รับไปดำเนินการ

การรื้อคดีครั้งนี้จึงนำมาสู่การ "อุ้ม" ภรรยา และลูกของนายสันติ คือ นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ เพื่อนำตัวไปรีดข้อมูล โดยนำตัวไปกักไว้ที่รีสอร์ทใน จ.สระแก้ว นานนับเดือน และหวังว่านายสันติ จะนำเพชรบลูไดมอนด์มาคืน เพราะเชื่อว่านายสันติครอบครองอยู่

แต่นานวันเข้า นายสันติก็ไม่สามารถนำมาคืนได้ เนื่องจากได้นำไปให้คนอื่นแล้ว หลังจากนำไปแปลงสภาพให้พ่อค้าเพชรย่านเจริญนคร ก่อนจะนำไปให้ "บุคคลสำคัญ" คนหนึ่ง

การคุมขังสองแม่ลูกนานเกินไป ประกอบกับสองแม่ลูกจำหน้าทีมอุ้มได้ ทีมอุ้มเริ่มกลัว "ความลับรั่วไหล" จึงได้วางแผน "ฆาตกรรมอำพราง" โดยลงมือกระหน่ำตีจนเสียชีวิต ก่อนจะยัดร่างใส่รถเบนซ์ที่จอดอยู่กลางถนนเพื่อ "จัดฉาก" ให้รถบรรทุกพุ่งชนบริเวณ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
ผลการชันสูตรเบื้องต้น โดย พล.ต.ต.ทัศนะ สุวรรณจูฑะ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวช (ในขณะนั้น) พิสูจน์ออกมาว่า "เป็นอุบัติเหตุ" แต่ น.พ.พล หิรัญศิริ พี่ชายของนางดาราวดี ออกมาคัดค้าน

ภายหลังจึงเกิด "ความแตก" เมื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รอง อ.ตร.และ พล.ต.ต.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผบก.ป. (ในขณะนั้น) เข้าคลี่คลายคดีจึงรู้ว่าสาเหตุการตายเกิดจากการ "ฆาตกรรม"

อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ รอบนี้เล่นเอา พล.ต.ต.ทัศนะ ต้อง "ลาออกจากตำแหน่ง" ในเวลาต่อมา!

จากนั้น พล.ต.ท.ชลอ พร้อม "ทีมอุ้ม" ตำรวจ-พลเรือนรวม 9 ราย รวมทั้ง พล.ต.ท.โสภณ จึงถูกสั่งจำคุก โชคดีที่หลักฐานต่างๆ สาวไปไม่ถึง พล.ต.ท.โสภณ จึงรอดพ้นคุกตะรางไปได้ แต่ พล.ต.ท.ชลอ ยังถูกจองจำจนถึงทุกวันนี้ ส่วนทีมอุ้มหลายคนก็เสียชีวิตไปในระหว่างดำเนินคดี!

ชีวิตในคุกของ "ชลอ เกิดเทศ"

วิธีการคลายเครียดอีกอย่างของป๋าลอ คือเรื่องกีฬา โดยเฉพาะ "ฟุตบอล" ซึ่งป๋าลอเคยเป็นนายกสมาคมอยู่ จึงเป็นคนแรกที่บุกเบิกการจัดแข่งขัน "ฟุตบอลคุก" จนมีสปอนเซอร์แห่เข้ามาสนับสนุน

ว่ากันว่า การจัดแข่งบอลคุกถือเป็นการ "สานต่อความฝัน" เมื่อครั้งที่ยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ป๋าลอเคยเปรยๆ เอาไว้ว่า

"ถ้าไม่ถูกจับเสียก่อนจะเอาเงิน 100 ล้านจากซาอุฯ มาทำทีมฟุตบอลไทย"

ถึงวันนี้ผ่านการพิจารณาคดีมาถึง 2 ศาลแล้ว แต่ยังไม่มีใครรู้ได้ว่า ท้ายที่สุดชะตากรรมของ พล.ต.ท.ชลอ จะลงเอยอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ชีวิตในวันนี้ของเขาย่อมไม่มีความสุขเหมือนในครั้งอดีตอย่างแน่นอน และคดีนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า "อาถรรพณ์เพชรซาอุฯ" นั้นทรงอิทธิฤทธิ์สมคำร่ำลือเพียงใด
เกร็ดความรู้
นายเกรียงไกรไปทำงานครั้งแรกที่วังดังกล่าวก็เห็นช่องทางโจรกรรม เพราะมองเห็นเพชรนิลจินดาอัญมณีของมีค่า แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาด ตามตู้โชว์โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟก็ยังมีกุญแจเสียบคาทิ้งไว้ ไม่มีการล๊อค
ดูเพชรไม่เป็น ใช้ของแข็งทุบเป็นการพิสูจน์ น่าสงสารนายเกรียงไกรมากที่ไม่มีปัญญาดูเพชร แต่พอมีความรู้อยู่บ้างว่าเพชรมีความแข็งแกร่งกว่าโลหะใด นายเกรียงไกรจึงเอาค้อนบ้าง ก้อนหินบ้าง ทุบที่อัญมณี เม็ดไหนทุบไม่แตกก็เชื่อว่าเป็นเพชร เก็บไปขาย พวกตัวเรือน เครื่องประดับที่เป็นโลหะ ถูกเอามาทุบรวมกันแล้วนำไปขายตามน้ำหนัก ราคาถูกๆ ได้เงินสดไป 5 ล้านบาท แบ่งนำฝากบัญชีไว้ในชื่อพ่อ ชื่อแม่ 1.3 ล้านบาท

ตอนที่ตำรวจติดตามเอาสิ่งของที่ถูกโจรกรรมกลับคืนจากแหล่งรับซื้อ มีร้านรับซื้อบางรายรู้ว่าสิ่งของที่ตนรับชื้อไว้เป็นของที่ถูกโจรกรรม ก็รีบนำเอาไปคืนเจ้าหน้าที่ เวลาคืนก็ต้องการคืนให้ครบ แต่อาจจะมีบางชิ้น บางส่วน แกะของจริงเอาไปขาย หาคืนแบบทันทีทันใดไม่ได้ ก็หาของปลอมยัดไส้เข้าไป ก็อาจจะเป็นได้ ส่วนของมีค่าที่ส่งคืนไม่ครบนั้น จนบัดนี้ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าอยู่ที่ใคร

นายเกรียงไกรรู้ทันทีว่าภัยจะมาถึงตัว แต่ยังใจเย็น เพราะทางการไทยยังไม่รู้ เพชรอัญมณีของมีค่า ถูกลำเลียงขายไปที่แหล่งรับซื้อที่ลำปาง ทั้งคนขายและคนรับซื้อก็ไม่เคยเห็นของมีค่าชนิดใหญ่ๆ โตๆเช่นนี้มาก่อน แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นของจริงหรือของปลอม ทำนองไก่ได้พลอย ตัวอย่าง สร้อยเพชร 1 เส้นมีเพชรหลายเม็ด น้ำหนักเพชรรวม 15 กะรัต นายเกรียงไกรขายไปเพียง 500 บาท คนรับซื้อที่ลำปางนำไปขายต่อที่ จ.พิษณุโลก คนรับซื้อของที่ จ.พิษณุโลกตาถึง นำไปขายร้านเพชรแถวหัวเม็ด (เยาวราช) ได้ราคาถึง 7 ล้านบาท

นายเกรียงไกร ถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษ 1 ถึง 7 ปี ศาลยกโทษขึ้นมาในอัตราสูงสุด แต่นายเกรียงไกรรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษลงกึ่งหนึ่ง ขณะนั้ได้หมดโทษแล้ว

ปลายปี 2531 มี จนท.กงศุลของซาอุฯถูกลอบสังหารที่พัทยาในขณะกำลังนั่งดื่มเบียร์เคล้านารีอยู่ที่บาร์เบียร์พัทยาใต้ ในย่านของพวกมิดเดิลอีส คนร้ายควบมอเตอร์ไซด์มีชายมือปืนนั่งซ้อนท้าย แต่ละคนสวมหมากกันน็อค รถมอเตอร์ไชด์ของคนร้ายจอดห่างเป้าหมายประมาณ 30 เมตร คนร้ายที่นั่งซ้อนลงจากรถโดยยังสวมหมวกกันน๊อคอยู่ พร้อมชักอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 หรือ ขนาด .32 ยิงแบบ Double Tribs คือปล่อยลูกกระสุน 2 นัดซ้อน ลูกกระสุนวิ่งคู่เข้าหาเป้าหมายคือ จนท.กงศุล ถูกบริเวณราวนมซ้าย 2 นัด แม่นราวจับวาง โดยในขณะนั้นคนร้ายที่ขับขี่รถ จยย.ก็ยังคร่อมอยู่บนรถและติดเครื่องรออยู่ แล้วคนร้ายที่เป็นผู้ลั่นกระสุนก็กระโดดขึ้นซ้อนท้าย จยย.คันเดิม เสียง จยย.แผดดังยาว แล้วรถ จยย.ของคนร้ายก็หายไปกับความมืดก่อนที่จะสิ้นเสียงเครื่องยนต์ด้วยช้ำ

เมื่อต้นปี พ.ศ.2532 นายซอแล๊ะ เลขานุการโทประเทศซาอุฯประจำประเทศไทย ถูกสังหารด้วยอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 ถึงแก่ความตายในเขตท้องที่ สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้คือ“บังมุด” จำเลยปฏิเสธต่อสู้คดี ในที่สุดศาลยกฟ้อง หลังจากคดี“บังมุด”แล้วยังมีการฆ่าเกิดขึ้นอีก 2 ราย จนท.สถานทูตซาอุฯถูกยิงเสียชีวิต 3 ศพ และยังมีนักธุรกิจของประเทศซาอุฯถูกอุ้มหายไปอีก 1 คน ในขณะที่คดีเรื่องฆ่าการสืบสวนหาตัวคนร้ายยังไม่คลี่คลาย คดีโจรกรรมเพชรซาอุฯก็เกิดขึ้น

นายสันติเป็นพ่อค้าเพชรซึ่งรับซื้อเพชรที่ถูกโจรกรรมมาจากนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ผลพวงจากการับซื้อของโจร ทำให้เขาต้องหนีหัวซุกหัวซุน ถูกข่มขู่ คุกคาม ถูกรีดไถ ที่น่าเศร้าก็คือ ในท้ายที่สุด เมียและลูกของเขาก็ถูกอุ้มไปฆ่าและเผาอำพรางคดี แต่เรื่องแดงขึ้นมาเมื่อกรมตำรวจส่งพล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้นนำกำลังตำรวจกองปราบลงมาสะสางความจริงหลังได้รับการร้องเรียนจากญาติของนายสันติ ในที่สุด จึงพบว่า มีนายตำรวจ”ระดับบิ๊ก”เข้าไปพัวพันกับขบวนการอุ้มโหดนี้ด้วย คดีเพชรซาอุฯทำให้สังคมตระหนักถึงความเป็นองค์กรซ่อนเงื่อนของตำรวจ ในเวลาเดียวกัน

นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ จำเลยคดีรับของโจร (เพชรซาอุฯ) ไม่ยอมมาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา จนศาลต้องออกหมายจับแล้วนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับทราบความคืบหน้า หรือการติดต่อประสานงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล อย่างไรก็ตาม ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาอีกครั้ง หากยังไม่ได้ตัวนายสันติมา ศาลอาญาก็จะอ่านคำพิพากษาของศาล ฎีกาลับหลังทันที

ปัจจุบัน มีข่าวลือและข่าวที่ไม่มีใครกล้ายืนยัน ต่างๆนานา

บ้างก็ว่าป๋าลอ นะเป็นแค่หมากในเกมนี้แค่นั้นเอง
บ้างก็ว่าเพชรได้ถูกทุบแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วนำไปเจียรไนใหม่ไปแล้ว
บ้างก็ว่าเพชรได้ถูกขายไปแล้ว ในประเทศเพื่อนบ้าน
บ้างก็ว่ายังเป็นเพชรเม็ดใหญ่ อยู่ที่ไหนซักที่หนึ่งในประเทศไทย
บ้างก็ว่าเพชรบูลไดมอนด์ถูกนำไปประมูลขายในตลาดมืดที่ New York ราชวงค์ซาอุ ไปเจอเข้าและประมูลกลับมาแล้ว และยังรู้อีกว่าใครเป็นผู้ปล่อยประมูลไป


ไม่ว่าเพชรจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
ผู้ที่มีไว้ครอบครองหรือสวมใส่...ก็ไม่ได้มี่ความวิเศษเหนือมนุษย์แต่อย่างใด
ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หายตัวได้ หรือ เป็นอมตะ
ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน

กลับกัน...กลับมีความทุกข์ในใจมากขึ้นไปอีกด้วย

และอีกในทางกลับกัน....เพชรบลูไดมอนด์นี้..จะยิ่งเพิ่มความอาถรรพ์ในตัวเองมากขึ้นไปอีก..เมื่อผ่านความโลภและกาลเวลาอย่างไม่จบสิ้น

http://bbs.asiasoft.co.th/showthread.php?t=121424

สัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบี ยอยู่ในฐานะที่ดีมาเป็นเวลานาน มีการเจริญไมตรีทางการทูต ไทยส่งแรงงานไปทำงานในประเทศซาอุฯจำนวนมาก เวลาเดียวกันคนประเทศซาอุฯก็เข้ามาท่องเที่ยวในประเท ศไทยมากเช่นกัน นับว่าประเทศซาอุฯทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศา ล แต่ปัจจุบันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเท ศซาอุดิอาระเบียไม่ดีเหมือนเดิม เพราะมีเรื่องเกี่ยวพันกันระหว่าง 2 ประเทศหลายเรื่อง

1. เรื่องฆ่า จนท.สถานทูตซาอุฯ
2. เรื่องนักธุรกิจซาอุฯถูก“อุ้ม”หายตัว
3. เรื่องโจรกรรมเพชร

แต่ละเรื่องลึกลับซับซ้อน ยังไม่สามารถที่จะคลี่คลายได้ชนิดเรียบร้อยสมบูรณ์แล ะโปร่งใส ชุดสืบสวนฝีมือดีของเมืองไทยถูกเรียกตัวมาทำงาน แต่ละคดีก็จบลงหรือสรุปแบบมีเงื่อนงำ ไม่โปร่งใส ยังมีประเด็นข้อกังขาทิ้งไว้ให้คนที่สนใจขบคิดอีกมาก
ประเทศซาอุฯเข้มงวดเรื่องการส่งแรงงานไทยไปซาอุฯ และห้ามคนซาอุฯเดินทางเข้าไทย ทำให้ขาดรายได้เข้าประเทศ รัฐบาลไทยรวมแล้วถึง 5 ชุด 5 สมัยพยายามแก้ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ มีการรื้อฟื้นสืบสวนสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับซาอุฯห ลายครั้งหลายครา คดีบางเรื่องก็ยังไม่เสร็จสิ้นจนถึงเดี๋ยวนี้
สมัยที่แรงงานไทยไปทำงานที่ซาอุฯได้ ค่าหัวคิวส่งแรงงานไทยแพงมากๆ หัวละเป็นแสนๆบาท โดยมีหัวหน้ามาเฟียไทยเป็นผู้เรียกเก็บ จ่ายใครบ้างไม่ทราบ ทางการประเทศซาอุฯก็พยายามปราบปรามเรื่องนี้ มีการย้ายเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องกับการออกวีซ่ากลับป ระเทศ และส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาทำการสืบสวนอย่างลับๆ จากการเข้มงวดกวดขันของทางการซาอุฯ ทำให้วงจรอุบาทว์ส่วยแรงงานชะงัก จึงทำให้มีการฆ่ากันอย่างต่อเนื่อง

ปมขัดแย้งครั้งแรก เมื่อประมาณปลายปี 2531 ในขณะที่แรงงานไทยส่งไปซาอุฯยังฟูเฟื่อง เมืองไทยเป็นสวรรค์ของคนซาอุฯ ในกรุงเทพฯแถวซอยนานาเหมือนกับเมืองๆหนึ่งในประเทศซา อุฯ เดินไปไหนก็มักจะพบแต่คนแต่งกายชุดขาว ชุดดำคลุมศีรษะแบบอาหรับมิดเดิลอีส รวมทั้งร้านค้าร้านอาหารบริการชาวตะวันออกกลาง เวลาเดียวกันที่พัทยาใต้แถวมาลินพลาซ่าก็คราคร่ำไปด้ วยนักท่อเที่ยวจากซาอุฯ เกือบจะเรียกได้เลยว่าบริเวณทั้งสองแห่งนี้กลายเป็นเ มืองตะวันออกกลางไปแล้ว

แทบไม่น่าเชื่อว่าแรงงานไร้ฝีมือ เรียนจบ ม.3 จากโรงเรียนเล็กๆ ใน อ.เถิน จ.ลำปาง จะเป็นต้นเหตุทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับประเทศซาอุดีอาระเบียที่มีมายาวนาน

เมื่อกว่า 30 ปีแล้วคนไทยนิยมหนีความแร้นแค้นไปขุดทองในประเทศซาอุ ดีอาระเบีย "เกรียงไกร เตชะโม่ง" เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านแม่ปะหลวง หมู่ 1 ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น หลังจากเรียนจบ ม.3 ก็ควักเงิน 2 หมื่นบาทให้นายหน้าในจังหวัดส่งตัวไปทำงานที่ซาอุดีอ าระเบีย

เกรียงไกรถูกส่งไปเป็นแรงงานไร้ฝีมือในบริษัทรับจ้าง ทำความสะอาดแห่งหนึ่ง ที่รับจ้างทำความสะอาดพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซิส กษัตริย์ซาอุฯ ตั้งอยู่ชานเมืองหลวงบนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ ภายในมีอาคารหลายหลัง มีห้องต่างๆ กว่า 100 ห้อง และมีรั้วสูงกว่า 3 เมตร ล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน แทบทุกห้องประดับประดาด้วยอัญมณีมีค่า

เพชรนิลจินดา แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาดตามตู้โชว์ โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟก็มีกุญแจเสียบคาไว้ เพราะซาอุฯ เป็นประเทศมุสลิมบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด มีการลงโทษผู้ทำผิดรุนแรง คดีอาชญากรรมโดยเฉพาะลักทรัพย์จึงไม่มีให้เห็น แต่สำหรับเกรียงไกรแล้วความหละหลวมที่ว่านี้เปิดโอกา สให้เขาลงมือลักทรัพย์สินของกษัตริย์ซาอุฯ ได้โดยง่าย

เกรียงไกรฉวยโอกาสขณะกษัตริย์ไฟซาลและมเหสีแปรพระราช ฐานไปพักผ่อนในแถบทะเลเมดิเตอร์
เรเนียน เมื่อเดือนธันวาคม 2532 เป็นเวลา 15 วัน พระราชวังจึงปลอดคน มีเพียงแม่บ้านคอยทำหน้าที่เปิดปิดประตูอาคารในพระราชวังเท่านั้น

ระหว่างนี้บริษัทรับจ้างทำความสะอาดที่เกรียงไกรทำงา นอยู่ ถูกเรียกเข้าไปทำความสะอาดพอดี เขาเข้าไปทำงานกับเพื่อนแรงงานชาวไทย 4-5 คน ชาวฟิลิปปินส์และศรีลังกาอีกจำนวนหนึ่ง โดยมีหัวหน้างานชาวฟิลิปปินส์คอยควบคุมการเซ็นชื่อเบ ิกเงินค่าแรงทุกเช้า-เย็น และมีรถรับ-ส่งเป็นประจำทุกวัน

เกรียงไกรดูลาดเลาอยู่ 2 วันเต็ม เช้าวันที่สาม จึงนำกระสอบปุ๋ยติดตัวไปด้วย โดยออกอุบายขออนุญาตหัวหน้างานเดินทางไป-กลับเอง พร้อมทั้งขอเซ็นชื่อในสมุดบันทึกการทำงานเช้า-เย็นในคราวเดียว ทุกวันหลังเลิกงาน แทนที่จะกลับที่พักเกรียงไกรกลับซุกตัวอยู่ในพระราชว ัง เพื่อหาโอกาสหยิบฉวยอัญมณีและทรัพย์สินมีค่า โดยซุกตัวอยู่ในพระราชวังนานถึง 7 คืน เลือกหยิบเพชรและเครื่องประดับใส่กระสอบปุ๋ยจนเต็ม แล้วเหวี่ยงออกนอกกำแพงนำกลับที่พัก

ก่อนหน้านี้เกรียงไกรทำงานอยู่ที่ซาอุฯ นานถึง 7 ปี ทำให้เดินทางไปไหนมาไหนได้ตามลำพัง รู้ทางหนีทีไล่ รวมทั้งจุดอ่อนในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และคุ้นเคยกับวิธีส่งสิ่งของกลับประเทศไทย ด้วยบริการขนส่งพัสดุทางอากาศ

เกรียงไกรบรรจุอัญมณีลงกล่องกระดาษปะปนกับเสื้อผ้าแล ะเครื่องใช้ส่วนตัว โดยไว้ด้านล่างทั้งหมด 4 กล่อง น้ำหนักรวมประมาณ 90 กิโลกรัม โดยไม่พิถีพิถันในการบรรจุ จ่าหน้าซองด้วยลายมือขยุกขยิก เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของเจ้าหน้าที่

ก่อนที่กษัตริย์ซาอุฯ จะเสด็จกลับพระราชวัง เกรียงไกรก็หนีกลับประเทศไทยก่อนแล้ว ทั้งที่เหลือเวลาทำงานตามสัญญาอีก 2 เดือน เมื่อถึงดอนเมืองก็ไปติดต่อรับพัสดุทางอากาศที่ส่งมา ก่อนล่วงหน้า โดยจ่ายเงินไป 7,000 บาทแลกกับความสะดวกในการนำกล่องออกจากสนามบิน

เกรียงไกรไม่มีความรู้เรื่องอัญมณี รู้เพียงว่าหากเป็นเพชรจริงจะแข็ง จึงตรวจสอบโดยใช้ของแข็งทุบ เม็ดไหนไม่แตกก็นำไปขายให้แหล่งรับซื้อใน จ.ลำปาง ในราคาถูกๆ ได้เงินสดมาประมาณ 5 ล้านบาท แต่ขายยังไม่ทันหมดความก็มาแตกเสียก่อน เมื่อกษัตริย์ไฟซาลทรงทราบว่าทรัพย์สินภายในพระราชวั งหายไป

ทางการซาอุดีอาระเบียเรียกบริษัทรับทำความสะอาดพระรา ชวังมาสอบสวน กระทั่งทราบว่าหัวขโมยคือ "เกรียงไกร เตชะโม่ง" แรงงานชาวไทยที่หนีกลับประเทศแล้ว จึงประสานให้ทางการไทยส่งตัวไปรับโทษ และทวงคืนอัญมณีทั้งหมดที่แรงงานไทยรายนี้ขโมยมา โดยในช่วงนั้นซาอุฯ ห้ามไม่ให้คนในประเทศเดินทางมาไทย และเข้มงวดแรงงานไทยที่ไปทำงานในประเทศของเขา

เกรียงไกรทราบเรื่องการถูกตามล่าจากเพื่อนแรงงานที่ข่มขู่ขอส่วนแบ่ง เขาจึงมอบอัญมณีให้ไปส่วนหนึ่งปิดปาก ก่อนจะหนีเข้าป่าด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก เข้าพม่า ด้วยความเสียดายทรัพย์สินเขาจึงนำใส่ถุงพลาสติกแล้วฝ ังดินไว้ใกล้ๆ บ้าน พร้อมทั้งพกยาไซยาไนต์ติดตัวไว้ฆ่าตัวตายหากจนมุมตำรวจ โดยระยะแรกที่เข้าป่ามีลูกหาบติดตามดูแล แต่นานวันเข้าผู้ติดตามทนความลำบากไม่ไหวก็แยกตัวออกมา

พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น สั่งการให้ พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ รอง ผบช.ก. เจ้าของฉายา "สิงห์เหนือ" ซึ่งกำกับดูแลกองปราบปราม จัดทีมไล่ล่าเกรียงไกรโดยมี พ.ต.ท.เจษฎากร นะภีตภัทร และ ร.ต.อ.จีรวัฒน์ แท่งทอง (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) เป็นกำลังสำคัญ

หนึ่งเดือนต่อมาเกรียงไกรก็ถูกจับภายในโรงแรมเล็กๆ ใน อ.แม่สอด ที่เขาเช่าพักอยู่กับหญิงรายหนึ่ง แต่ทางการไทยไม่ได้ส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ เพราะเห็นว่าโทษที่จะได้รับคือประหารชีวิต ซึ่งเป็นโทษที่สูงเกินไป

เกรียงไกรถูกแจ้งข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางค ืน ระวางโทษจำคุก 1-7 ปี เขาให้การรับสารภาพศาลจึงลดโทษ และติดคุกจริงไม่ถึง 5 ปี จากวันนั้นถึงวันนี้เกรียงไกรได้รับอิสรภาพมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่สัมพันธภาพระหว่างไทยกับซาอุฯ ถึงจุดต่ำสุด และยิ่งตอกย้ำเมื่อ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รมว.ต่างประเทศ ไปเยือนซาอุฯ เพื่อฟื้นสัมพันธ์ แต่ต้องผิดหวังเพราะซาอุฯ กล่าวหาว่าไทยเอาเพชรปลอมไปคืนแถมคืนให้ไม่ครบ โดยเฉพาะ "บลูไดมอนด์" เพชรประจำราชวงศ์ก็ยังไม่ได้คืน

ปฏิบัติการติดตาม "บลูไดมอนด์" ในไทยจึงเกิดขึ้น โดยนายโมฮัมหมัด ซาอิค โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ถึงกับว่าจ้างชุดสืบสวนพิเศษแกะรอยตามหาเพชรอย่างลับ ๆ ควบคู่ไปกับการทำงานของตำรวจยุคที่มี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็นอธิบดี

เกรียงไกรให้การในทำนองว่าบลูไดมอนด์น่าจะอยู่ในมือของ "สันติ ศรีธนะขัณฑ์" เจ้าของร้านเพชรสันติมณี ย่านเจริญกรุง จนกลายเป็นที่มาของคดีอุ้มฆ่าสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์ และเป็นการปิดตำนาน 2 ตำรวจมือปราบ เจ้าของฉายาสิงห์เหนือและเสือใต้ ติดตามอ่านต่อในพลิกแฟ้มตอนหน้า

ชีวิตหลังพ้นโทษของ "เกรียงไกร เตชะโม่ง" ไม่แตกต่างจากอดีตนักโทษคนอื่นๆ เขาไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของสังคม และขาดความมั่นใจในการเผชิญชีวิตนอกห้องขัง

หลังพ้นโทษไม่นานเกรียงไกรเปลี่ยนไปใช้นามสกุลอื่น อาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ ใน อ.เถิน จ.ลำปาง กับภรรยา ส่วนลูกชายเข้ามาขายแรงงานใน กทม.นานๆ จึงกลับไปเยี่ยมสักครั้ง สองสามีภรรยาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและปฏิเสธที่จะรื ้อฟื้นความทรงจำหนหลัง

"ณรงค์ อินต๊ะพันธ์" นายก อบต.แม่ปะ ซึ่งคุ้นเคยกับเกรียงไกรดีบอกกับ "คม ชัด ลึก" ว่าแม้จะพ้นโทษมานานแล้ว แต่เกรียงไกรยังคงเก็บตัวอยู่เฉพาะภายในบ้านพัก ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ทุกครั้งที่หมู่บ้านมีงานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่ างดี

ทุกวันนี้เกรียงไกรมีรถกระบะเก่าๆ อยู่ 1 คัน วิ่งรับจ้างขนทรายไปส่งตามสถานที่ก่อสร้าง นอกจากทำนาในที่ดินของตัวเองที่มีอยู่ประมาณ 10 ไร่ ฐานะพอกินพอใช้ หาเช้ากินค่ำ ไม่แตกต่างจากชาวบ้านแม่ปะหลวงรายอื่นๆ

"เขาไม่สนทนากับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะกับนักข่าวหากพบหน้าจะเดินหนีทันที เคยถามเขาเหมือนกันว่าหนีหน้าคนอื่นทำไม เขาบอกว่าไม่อยากคุยด้วยเพราะนักข่าวชอบถามแต่เรื่อง เดิมๆ ที่ตัวเขาอยากลืม"
dimistry
dimistry
Admin

จำนวนข้อความ : 808
Join date : 18/09/2009
ที่อยู่ : France

http://http:redcyberclub.co.cc

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ