RedCyberClub Forum
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

ไอ้เป๊ะลิ้ม มันทำอะไร ก่อนก่อเรื่องทั้งหมด

Go down

ไอ้เป๊ะลิ้ม มันทำอะไร ก่อนก่อเรื่องทั้งหมด Empty ไอ้เป๊ะลิ้ม มันทำอะไร ก่อนก่อเรื่องทั้งหมด

ตั้งหัวข้อ by dimistry Thu Mar 25, 2010 12:39 am

นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหนี้ 6,687 ล้านบาท หนี้เน่าที่ สนธิสร้างและจะไม่ยอมจ่าย
กู้เงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกว่า 300 ล้านบาท
ธนาคารกรุงไทย 495,080,556.13 ล้านบาท
ธนาคารกสิกรไทย 30,791,780.82 ล้านบาท
ธนาคารเอเซีย 741,728,446.00 ล้านบาท
ธนาคารกรุงไทย 900,978,279.31 ล้านบาท
ธนาคารไทยธนาคาร 431,419,178.07 ล้านบาท
ธนาคารดีเอสบี (ไทยทนุ) 64,621,463.90 ล้านบาท
กฟผ. 53 ล้านบาท
และอีกหลาย ๆ ธนาคาร บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ต่าง ๆ อีกมากมาย
ให้ไปอ่านที่ นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ จะได้ทราบว่ามันโกงทั้งประเทศไทย และทั้งโลกด้วย

นายสนธิ มาขอต่อรองลดหนี้ เมื่อไม่ได้จึงไม่ชอบรัฐบาล
ถ้ามันไล่ทักษินออกได้หนี้มันจะได้ลด
สถาบันการเงินหรือธนาคารใด ไม่ให้สนธิกู้ สนธิก็จะใส่ความว่า เป็นธนาคารในเครือ ของสิงคโปร แล้วก็จะเอาม๊อบอันธพาลไปก่อกวน

เงินพนักงาน กฟผ. ถูกสนธิ ชักดาบ 53.68 ล้าน
- พนักงาน กฟผ. อึ้ง เพิ่งรู้ข่าวกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. ถูกสนธิ ลิ้มทองกุล เบี้ยวหนี้เงินกู้ 53.68 ล้านบาท ที่เอาไปให้เด อะเอ็ม กรุ๊ปกู้แล้วไม่ชดใช้ ทั้งๆ ที่เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ อาศัยข้ออ้างทางกฎหมายเป็นบุคคลล้มละลายไม่ต้องรับผิดชอบ เรียกร้องให้แสดงความจริงใจที่จะช่วยกฟผ.ด้วยการคืนเงินกู้เสียก่อน
แหล่ง ข่าวระดับบริหารของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานการ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าหลังจากที่หนังสือพิมพ์กู้ชาติ ได้นำเสนอข้อมูลภาระหนี้สินของบริษัท เด อะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวนมากกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งมีรายการหนี้สินที่กองทุนสำรองเลี้ยง ชีพพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เป็นเจ้าหนี้อยู่ด้วย เป็นเงินจำนวนมากถึง 53.68 ล้านบาท ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายในหมู่พนักงาน และได้สอบถามมาที่ฝ่ายบริหารกองทุนฯ ว่าหนี้จำนวน 53.68 ล้านบาทนั้น เป็นหนี้สูญแล้วหรือยัง และมีโอกาสที่จะได้คืนหรือไม่ เนื่องจากเป็นเงินจำนวนมาก และเป็นเงินของพนักงานทุกคน

“ที่จริง เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2543 แต่พนักงานส่วนใหญ่เพิ่งมารู้เมื่อได้เห็นข้อมูลหนี้สินของบริษัทเด อะเอ็มกร ุ๊ป ตอนนี้มีถามกันเข้ามามากว่ากองทุนฯจะทำอย่างไรกับเงินจำนวนนี้ เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นสูงมาก เมื่อเทียบกับเงินเดื อนพนักงาน กฟผ. และเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่ทุกคนเก็บออมไว้ใช้ในยามที่ปลดเกษียณไปแล้ว”

หนี้ สินของเด อะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวนกว่า 6,000 ล้านบาท ที่เปิดเผยออกไปนั้น เป็นหนี้ที่มีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้ค้ำประกัน แต่ต่อมานายสนธิถูกฟ้องล้มละลาย จึงเป็นการเปิดช่องให้นายสนธิไม่ต้องรับผิดชอบต่อหนี้ที่ค้ำประกันไว้ ทำให้หนี้ของเด อะ เอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ทั้งหมดกลายเป็นหนี้เสียที่เจ้าหนี้ทุกรายต้องไปติดตามเรียกรับชำระหนี้กัน เอง ซึ่งในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. ต้องถือว่าได้รับความเสียหายค่อนข้างมาก
การสูญเงินจำนวน 53.68 ล้านบาท ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงาน กฟผ. เกิดขึ้นเนื่องจาก บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ทิสโก้ ซึ่งเป็นผู้บริหารเงินกองทุน สำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. ได้นำเงินสะสมของกองทุนฯ ไปลงทุนซื้อหุ้นบริษัท เด อะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่มีนายสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งนายสนธิได้เร่งระดมทุนจำนวนมากไปลงทุนทำกิจการ ต่างๆ มากมายทั้งธุรกิจสื่อสาร ธุรกิจโรงแรมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และธุรกิจสัมปทานดาวเทียมในประเทศลาว ซึ่งธุรกิจทั้งหมดของเด อะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประสบภาวะขาดทุนทั้งหมด เนื่องจากความไม่เชียวชาญในธุรกิจที่ลงทุน และความผิดพลาดในการบริหารงานของนายสนธิทำให้บริษัทมีหนี้สินจำนวนมหาศาล

อีก ทั้งผู้บริหารคือนายสนธิ ยังถูก ก.ล.ต. ฟ้องข้อหาปลอมแปลงเอกสาร และฉ้อโกงประชาชนด้วย การปลอมมติผู้ถือหุ้นบริษัท เด อะแมเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออีซี มาค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท เด อะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ด้วย เหตุที่มีหนี้สินจำนวนมาก และผลประกอบการขาดทุนโดยตลอด ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ ตลาดหลักทรัพย์จึงถอดถอนหุ้นเด อะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกจากกระดานหลัก ไม่ให้มีการซื้อขาย และจัดให้อยู่ในหมวดธุรกิจที่ต้องฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้เงินของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. ที่บริษัททิสโก้นำไปลงทุน ในเด อะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ต้องสูญไปด้วย

อย่าง ไรก็ตาม มีการตรวจสอบในภายหลังพบว่านายสนธิ ได้นำเงินที่ได้จากการระดมทุนของเด อะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ นำไปใช้หาประโยชน์ส่วนตัว และไปลงทุนส่วนตัว ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนเป็นเหตุให้บริษัท เด อะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ต้องขาดทุนในที่สุด

อย่างไรก็ตาม หนี้จำนวน 53.68 ล้านบาท ในขณะนี้ไม่สามารถหาผู้รับผิดชอบได้ เนื่องจากบริษัทเด อะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ชั้นต้น ไม่อยู่ในฐานะที่จะชำระหนี้ได้ ในขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ค้ำประกัน และนำเงินไปใช้ทั้งทำธุรกิจและส่วนตัว ก็มีหนี้สินล้นพ้นตัว ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายไปแล้ว ก็ไม่ต้องรับผิดชอบหนี้จำนวนนี้อีก สภาวการณ์เช่นนี้จึงทำให้เงินจำนวน 53.68 ล้านบาท ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ. มีความเสี่ยงสูงมากที่จะสูญ

นายสนธิ ลิ้มทองกุล มีชื่อจีนว่า “โกตั้บ แซ่ลิ้ม” เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2490 ระหว่างศึกษาอยู่ที่สหรัฐฯ เพื่อนฝูงมักเรียกนายสนธิว่า “SONDY” ภายหลังสำเร็จการศึกษา นายสนธิเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อปี 2516 และแต่งงานกับผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก มศว.ประสานมิตร แต่ปัจจุบันแยกกันอยู่ จะพบปะกันบ้างเป็นบางโอกาส เช่น เมื่อบุตรชายของทั้งคู่ ซึ่งขณะนี้กำลังเรียนอยู่สหรัฐฯ เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน
ส่วนพ่อของ นายสนธิคือเจ๊กเป็นทหารสังกัดกองร้อยหวางฟู่ ในกองพล 93 แห่งพรรคก๊กมินตั๋งของประธานาธิบดีเจียงไคเชค แต่ถูกกองทัพประชาชนของเหมาเจ๋อตงตีรุกจนถอยมาติดชายแดนจีนตอนใต้ยันชายแดน พม่า กองพล 93 มีชื่อเสียงมากเพราะ ซีไอเอ ของอเมริกันเลี้ยงไว้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ให้อาหารและอาวุธ ต่อมาทหารจีนช่วยคนท้องถิ่นปลูกฝิ่นมีรายได้อีกทางหนึ่ง แต่พ่อของนายสนธิชื่อ เชียร หนีทหารลอบเข้าชายแดนไทย แล้วลงมาอยู่กรุงเทพทำหนังสือพิมพ์จีน รับเรี่ยไรเงินส่งไปช่วยพรรคก๊กมินตั๋ง นายเชียรจึงพ้นโทษที่หนีทหาร ภายหลังนายเชียรร่ำรวย แล้วทั้งพ่อและแม่ถูกฆ่าตายอย่างลึกลับ (สันนิษฐานว่าโกงเงินเรี่ยไรไม่ส่งให้ก๊กมินตั๋ง)

นายสนธิเข้าทำ งานเป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย เมื่ออายุเพียง 27 ปี นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับ นายพล สิทธิอำนวย ตั้งบริษัท Advance Media ในเครือพีเอส กรุ๊ป ออกนิตยสารดิฉัน แต่ประสบกับภาวะขาดทุน จึงขายให้กับ นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา
เมื่อครั้งนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทำงานที่ นสพ.ประชาธิปไตยนั้น นายสนธิรู้จักนายพร สิทธิอำนวย (เรียกชื่อฝรั่งว่า นายพอล = Paul)ทำงานธนาคาร แล้วมีธุรกิจส่วนตัวทำนิตยสาร ต่อมานายพอล สิทธิอำนวยโกงเงินธนาคาร 2 พันล้านบาทหนีไปอยู่อเมริกา ก่อนหนีไปได้โอนกิจการพิมพ์ให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล เท่ากับนายสนธิได้สมบัติฟรี ๆ เป็นของส่วนตัวทำหนังสือต่อจนมีฐานะดี สามารถกู้หนี้ยืมสินธนาคารด้วยเครดิตสูง
แต่แล้วนายสนธิก็กลับมาโดด เด่นอีกครั้งด้วยการตั้ง บริษัท ตะวันออกแมกกาซีน ออกหนังสือผู้จัดการรายเดือน เมื่อปี 2526 และผู้จัดการรายสัปดาห์ จากความสำเร็จในการเป็นหนังสือแนวธุรกิจชั้นนำของผู้จัดการรายเดือนและราย สัปดาห์ ทำให้นายสนธินำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปี 2533 พร้อมกับออกหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันตามมา

***ผูกขาดขาย Nokia แต่เพียงผู้เดียว***

ต่อ มานายสนธิสามารถเข้าเทคโอเวอร์บริษัทลูกของปูนซีเมนต์ไทย ก็คือ บริษัท เอสซีทีคอมพิวเตอร์ จำกัด บริษัทไมโครเนติก จำกัด และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง (ไออีซี) จำกัด ซึ่งต่อมาบริษัท ไออีซี เป็นบริษัทที่ทำกำไรให้กับนายสนธิอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก บริษัท ไออีซี เป็นบริษัทผูกขาดการขายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย ระบบเซลลูล่า 900 แต่เพียงผู้เดียว

***ลงทุนดาวเทียมลาวสตาร์ในลาว***

นายสนธิ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแต่การทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ในประเทศเท่านั้น เขายังได้ขยายตัวออกไปลงทุนทำหนังสือพิมพ์ “เอเชียไทม์” โดยตั้งฐานผลิตที่ฮ่องกงอีกด้วย พร้อมกับเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท แมเนเจอร์มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็ม กรุ๊ป เมื่อ 22 พ.ย. 2537 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารงานบริษัทในเครือ จากนั้นเริ่มขยายไปสู่วงการโทรคมนาคมในต่างประเทศ เข้าไปลงทุนในโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ ชื่อบริษัท ABCN ที่เป็นบริษัทในเครือ ซึ่งได้รับสัมปทานจากประเทศลาว พร้อมๆ กับเริ่มรุกทำกิจการโรงแรมในลาว และร้านอาหารในจีน

จากการขยาย ตัวอย่างไร้ทิศทาง การพยากรณ์ธุรกิจอย่างผิดพลาด นำมาสู่สภาพธุรกิจที่ตกต่ำ นับตั้งแต่ปลายปี 2539 ทำให้นายสนธิต้องขายธุรกิจในเครือ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ รวมทั้งโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ที่ขายให้กับกลุ่มยูคอม แต่นายสนธิยังมีหนี้สินอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อ พ.ย. 2542 ธนาคารนครหลวงไทย ได้ยื่นฟ้องนายสนธิ และบริษัท เอ็ม กรุ๊ป ให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะไม่สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารได้จำนวน 150 ล้านบาท จนกระทั่งศาลได้มีคำสั่งให้นายสนธิ และบริษัท เอ็ม กรุ๊ป เป็นบุคคลล้มละลายไปในที่สุด

ปัจจุบัน นายสนธิยังคงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการบริหารหนังสือพิมพ์ในเครือที่เหลือ เพียง 3 ฉบับ คือ ผู้จัดการรายเดือน ผู้จัดการรายสัปดาห์ และผู้จัดการรายวัน ซึ่งนายสนธิถือว่าเป็นหัวใจหลักที่จะต้องคงไว้และดำเนินการต่อไป แม้จะไม่มีตำแหน่งใดๆ แล้ว นายสนธิมีเครือข่ายความสนิทสนมกับบุคคลในกลุ่มนักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ และข้าราชการจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ นายศิรินทร์ฯ และนายธารินทร์ฯ โดยนายสนธิได้รับความช่วยเหลือด้านเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย เพื่อมาพยุงฐานะธุรกิจตลอดเวลาในช่วงที่นายศิรินทร์เป็นกรรมการผู้จัดการ ใหญ่ โดยเมื่อ พ.ย. 2542 บริษัท Price water house Coopers ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่ธนาคารกรุงไทยว่าจ้างมาปรับปรุงโครงการตรวจสอบ ภายใน ระบุว่า บจ.เอ็ม กรุ๊ป มีหนี้สินอยู่กับธนาคารกรุงไทย จำนวน 2,123 ล้านบาท เป็นหนี้เสีย (NPL) เพราะเป็นการปล่อยสินเชื่อโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว ทั้งที่ไม่มีหลักทรัพย์ใดๆ มาค้ำประกัน

***เปลือยธารินทร์***

ต่อมาไม่นานนัก นายสนธิจึงได้เขียนบทความต่างๆ รวมทั้งออกหนังสือชื่อ “เปลือยธารินทร์” โจมตีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเรื่องส่วนตัวของนายธารินทร์ฯ อยู่โดยตลอดมา จนเป็นข้อสงสัยต่อสาธารณชน อาจจะเป็นเรื่องไม่พอใจที่นายธารินทร์ไม่ยอมช่วยเหลือแก้ไขปัญหาทางธุรกิจ ให้

กระนั้น นายสนธิก็ยังมีความสัมพันธ์กับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เนื่องจากอดีตภรรยาของนายสนธิเป็นญาติของนายบัญญัติ ทั้งนายสนธิกับนายบัญญัติเคยลงทุนทำธุรกิจโรงแรมด้วยกันที่ประเทศลาว ปัจจุบันมีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันเป็นประจำ

***ลงทุนทำโรงแรมที่ลาวร่วมกับบัญญัติ บรรทัดฐาน***

ระหว่าง ช่วงสมัยรัฐบาลชวน 2 นายสนธิมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับนายธารินทร์มาก่อน ตอนแรกก็ดีกัน แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งระหว่างกันอย่างรุนแรง โดยนายสนธิอ้างว่าเป็นความขัดแย้งกันทางความคิดในการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ของประเทศ จากนั้นจึงพุ่งเป้าโจมตีนายธารินทร์อย่างรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2 ปีหลังของรัฐบาลชวน 2 ทั้งผ่านทางวิทยุ และหนังสือพิมพ์ต่างๆ ในเครือผู้จัดการ โดยใช้ชื่อว่า พายัพ พนาสุวรรณ มีการทำเทปออกขาย ปรากฏความตอนหนึ่งว่า นายสนธิกล่าวหานายธารินทร์ว่า กระทำการอันเป็นการหมิ่นพระบรมราชานุภาพ ทำให้นายธารินทร์ต้องฟ้องร้องนายสนธิในข้อหาหมิ่นประมาท เรื่องยังอยู่ในศาลจนถึงปัจจุบันนี้

***เกาะรัฐบาลทักษิณ ๑***

ขณะ ที่ในช่วงรัฐบาลทักษิณ 1 เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกนั้น ก็ได้ดึงเอานายสนธิมาร่วมงานด้วย เพราะเขารู้จักกับคนในรัฐบาลหลายคน ต่อมาในช่วงรัฐบาลทักษิณ 2 เกิดการขัดแย้งระหว่างนายสนธิกับรัฐบาลอย่างรุนแรง สาเหตุที่แท้จริงไม่ทราบว่าด้วยเรื่องอะไร แต่บางคนอ้างว่า เพราะนายสนธิลงทุนไปซื้ออุปกรณ์ในการทำโทรทัศน์เสรีมาแล้วเป็นพันล้านบาท แต่กลับไม่ได้ช่องมาทำ ก็เลยหันมาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ในแบบเดียวกันกับที่เคยโจมตีนายธารินทร์สำเร็จมาแล้ว

***ฟอกเงินที่หมู่เกาะเวอร์จินไอส์แลนด์***

ไม่ เพียงเท่านั้น ข้อสงสัยประการสำคัญที่มีต่อนายสนธิกับหมู่เกาะในสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นชื่อใน ประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นหมู่เกาะของนักฟอกเงิน นั่นคือ หมู่เกาะ The British Virgin Island

มีหลายฝ่ายต่างแฉข้อมูลของนายสนธิ จนกลายเป็นข้อกล่าวหาที่สาธารชนจะต้องนำมาเป็นฐานข้อมูลในการพิจารณาด้วย เช่นกัน ประเด็นกล่าวหานายสนธิมีอยู่ว่า ไปจดทะเบียนบริษัท Manager International Holding Company Limited ที่หมู่เกาะ The British Virgin Island นี้ ด้วยเงินเพียงแค่ 1,000 เหรียญสหรัฐ แต่กลับนำมาขายให้ บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ซึ่งเป็นของผู้ถือหุ้นทุกคน ด้วยเงินถึง 7,228,000 เหรียญสหรัฐ ประเด็นก็คือ ส่วนต่าง 200 ล้านบาทนี้ หายไปอยู่กระเป๋าใคร

นอกจากนั้น เงินที่ บริษัทเมเนเจอร์ให้บริษัทนี้ยืมไปอีก 700 ล้านบาท หายไปไหน

ข้อ สงสัยจนกลายเป็นข้อกล่าวหาต่อมา คือทำไมมีการเปิดบริษัทส่วนตัว ที่ชื่อ เวิลด์ไวด์ มีเดีย ซึ่งก็ตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์ เพื่อรับเงินค่าโฆษณาแทนบริษัทมหาชน และทำไมบริษัทนี้ไม่ยอมจ่ายเงินคืนให้บริษัทซึ่งเป็นของมหาชน ทั้งที่รับเงินมา 2-3 ปีแล้ว ข้อกล่าวหาอีกประเด็นหนึ่งคือ ทำไมบริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ถึงยังให้บริษัทนี้หาโฆษณาและรับเงินแทนอยู่ ทั้งที่ก็รู้ว่าบริษัทนี้ยังไม่โอนเงินเข้าบริษัท เมเนเจอร์ฯ มาเป็นปีแล้ว

***เงิน ๗๐๐ ล้านหายไปไหน***

นอกจากนั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า ทำไมบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย ถึงนับยอดรายได้โฆษณาที่น่าจะได้จากบริษัท เวิลด์ไวด์ มีเดีย เป็นหนี้ที่สงสัยจะสูญในทันที จนมีผลทำให้ผลประกอบการรวมของบริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย ซึ่งควรจะเป็นกำไร กลายเป็นขาดทุน จนเป็นที่มาของข้อสงสัยกรณีผู้ตรวจสอบบัญชีที่บริษัท เมเนเจอร์ มีเดียจ้างเอง ไม่ยอมเซ็นรับรองบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย หลายไตรมาสติดต่อกัน

***เจิมศักดิ์แฉลดหนี้จาก ๒๐,๐๐๐ ล้านเหลือ ๖,๐๐๐ ล้าน***

อีก ประเด็นหนึ่งที่เป็นข้อสงสัยตลอดมา คือประเด็นหลังจากที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และกลุ่มเนชั่นออกมาปูดข่าวว่า รัฐบาลทักษิณช่วยลดหนี้ของกลุ่มผู้จัดการ จาก 20,000 ล้านบาท เหลือแค่ 6,000 ล้านบาท ในปี 2545 แล้วนายสนธิและกลุ่มผู้จัดการได้รับการลดหนี้จากสถาบันการเงินของรัฐอีกกี่ ครั้ง ต่อมานายสนธิออกมาปฏิเสธว่า กลุ่มผู้จัดการมีหนี้อยู่ในขณะนั้น 8,000 กว่าล้านบาท ไม่ใช่ 20,000 ล้านบาทตามที่นายเจิมศักดิ์กล่าวหา

ใน ยุคหนึ่งขณะที่นายวิโรจน์ นวลแข ทำงานที่ธนาคารกรุงไทย มีข้อกล่าวหาว่า ทำไมนายสนธิถึงได้รับการลดหนี้ที่เคยลดมาแล้วอีก จาก 1,421.73 ล้านบาท เหลือเพียงแค่ 259 ล้านบาท และทำไมธนาคารกรุงไทยถึงขนาดยอมให้นายสนธิไม่ต้องจ่ายคืนเป็นเงินสด โดยยอมกระทั่งให้ใช้คืนเป็นค่าโฆษณาราคาแพง จนเราได้เห็นโฆษณาชุดผู้ใหญ่ลีที่มีค่าแอร์ไทม์ครั้งละหลายแสนบาท อย่างถี่ยิบ จนเป็นคำถามว่า ธนาคารของรัฐอย่างธนาคารกรุงไทย มีความจำเป็นต้องโฆษณาตัวเองกับสื่อของนายสนธิแค่ที่เดียว เป็นร้อยๆ ล้านบาทเลยหรือ (จากข้อมูลที่กลุ่มผู้จัดการทำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2547 ดูข้อมูลได้ที่ตลาดหลักทรัพย์)

***ปลุกระดมมวลชนเพื่อแก้วิกฤตการเงินของตัวเอง***

ด้วย ข้อสงสัยและข้อกล่าวหาหลายประการ จึงนำมาสู่ประเด็นที่ว่า การที่นายสนธิออกมาปลุกระดมมวลชนอย่างเอาเป็นเอาตาย สาเหตุเบื้องต้น เกิดจากกลุ่มผู้จัดการกำลังเกิดวิกฤติทางการเงิน ซึ่งถ้าไม่ได้อำนาจรัฐหรือกลุ่มทุนเข้าช่วยเหลือ อาจถึงขั้นปิดตัวเองเลยใช่หรือไม่ และอะไรที่ทำให้นายสนธิ อุทานว่า ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง

ประเด็นที่เป็นเงื่อนตาย ที่ยากจะปลดล็อกคือ กรณีคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกกฎมานานแล้วว่า จะถอดถอนบริษัทซึ่งอยู่ในหมวดฟื้นฟูของตลาดหลักทรัพย์ และมีหุ้นส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ ภายในเดือนมีนาคม 2549 และประเด็น ศาลล้มละลายกลาง ได้ยินยอมขยายเวลาแผนฟื้นฟูของบริษัทเมเนเจอร์มีเดียออกไปจากเดิมสิ้นสุดวัน ที่ 26 กรกฏาคม 2548 กลายเป็นสิ้นสุดวันที่ 3 สิงหาคม 2549 เพื่อให้บริษํทเมเนเจอร์มีเดียหาผู้ร่วมทุนใหม่มูลค่า 350 ล้านบาทให้ได้ทันตามกำหนด

ถ้ากลุ่มผู้จัดการหาเงินเพิ่มทุน 350 ล้านบาทไม่ได้ภายในเดือนมีนาคม หรือไม่มีอินไซเดอร์ใน ก.ล.ต.ให้เปลี่ยนแปลงหรือผ่อนผันกฎ บริษัทเมเนเจอร์มีเดียมีสิทธิจะโดนถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์

ถ้ายังไม่ได้เงินก่อนเดือนสิงหาคม และศาลไม่ยินยอมให้ขยายเวลาแผนฟื้นฟูบริษัทอีก บริษัทเมเนเจอร์ก็อาจจะต้องปิดตัวเองลงภายในปีนี้

จึงเป็นที่มาของคำว่า “ตายเป็นตาย” ของนายสนธิ
ไอ้เป๊ะลิ้ม มันทำอะไร ก่อนก่อเรื่องทั้งหมด P77589420
dimistry
dimistry
Admin

จำนวนข้อความ : 808
Join date : 18/09/2009
ที่อยู่ : France

http://http:redcyberclub.co.cc

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ