อย่าตัดตอน
หน้า 1 จาก 1
อย่าตัดตอน
จริงๆแล้วมติขององค์คณะผู้พิพากษาที่ตัดสินคดี "ยึดทรัพย์" ถือว่าเป็นเอกฉันท์ แม้เสียงที่ออกมาเป็น 7 ต่อ 2 ก็ตาม แต่ 2 ท่านนั้นเห็นว่าควรจะยึดทรัพย์ทั้งหมด 7.6 หมื่นล้าน ไม่ใช่ 4.6 หมื่นล้าน พูดง่ายๆว่ายึดทั้งหมด
หรือแม้แต่ผู้พิพากษาท่านหนึ่งที่ลงมติไม่ เห็นด้วยกับ 4 ประเด็น ทำให้ไม่เป็นเอกฉันท์ แต่เนื่องจากประเด็นซุกหุ้นมีการลงมติเอกฉันท์ ซึ่งถือว่ามีความผิด ดังนั้น ในมติยึดทรัพย์จึงต้องเห็นด้วย เพราะมิฉะนั้น จะแย้งกับความเห็นในเรื่องซุกหุ้น
อย่างไรก็ดี ในส่วนของการยื่นอุทธรณ์นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะจะต้องเป็นหลักฐานใหม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมายที่จะมาล้มล้างคำพิพากษา ไม่ใช่การตีความจึงจะได้รับการพิจารณา
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็น เรื่องยาก
ทั้งนี้ เพราะคำพิพากษาที่ออกมานั้นมีความละเอียด รัดกุม ยึดโยงกฎหมายทุกขั้นตอน จนแทบจะไม่มีช่องโหว่ให้โต้แย้งได้เลย ทำให้เห็นเส้นทางการกระทำความผิด การใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและบริษัทอย่างชัดเจน
เรียกว่าโกง อย่างครอบจักรวาลเลยทีเดียว
แน่นอนว่าพฤติกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น มีการวางแผนอย่างแยบยลทุกขั้นตอน ซึ่งแน่นอนว่าการเอาหุ้นไปซุกให้ลูกและเครือญาติ โดยมั่นใจว่าจะไม่มีใครจับได้ไล่ทัน แต่สุดท้ายก็อย่างคำพิพากษาที่ออกมาคือไม่สามารถหลีกหนีความจริงไปได้
กลาย เป็น "ตราบาป" ให้ลูกต้องรับเคราะห์ไปด้วย ซึ่งจะไปโทษใครไม่ได้เพราะทำตัวของตัวเอง และเป็นความโลภที่ไม่รู้จักเพียงพอ
กฎ กติกาสำหรับนักการเมืองมีความชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้ว ดังนั้น การเข้ามาเป็นนักการเมือง ไม่ว่าจะมีอาชีพอะไร ร่ำรวยมากน้อยแค่ไหน เศรษฐีหมื่นล้านแสนล้านก็ต้องปฏิบัติตาม
ที่บอกว่าต่อไปนี้คนรวย นักธุรกิจ ไม่มีทางเข้าสู่การเมืองได้ จึงเป็นคำแก้ตัว และทำให้บรรดานักธุรกิจเกิดแหยงเท่านั้น เพราะหากสนใจเล่นการเมืองก็เข้ามาได้ เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกติกามันก็แค่นั้นเอง ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก
เพียง แต่อย่าใช้การเมืองเป็นเครื่องมือหรือช่องทางหาประโยชน์ ส่วนตัว ใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ของธุรกิจ
เพราะการเมืองไม่ใช่ธุรกิจที่ จะเข้ามาต่อยอดหรือสร้างความร่ำรวยให้เพิ่มขึ้น แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนด้วยความเสียสละ ซื่อสัตย์ โปร่งใส แม้จะเก่งกาจสามารถแค่ไหนก็ตาม
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงเป็น "ธุรกิจการเมือง" ของคนที่ไม่รู้จักพอ
เหนืออื่นใด จากคำพิพากษายึดทรัพย์ที่ออกมาทำให้ พ.ต.ท. ทักษิณหมดโอกาสที่จะเล่นการเมืองตลอดชีวิต เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดบทลงโทษเอาไว้ เว้นแต่จะได้อำนาจทางการเมืองจากการป่วนบ้านป่วนเมืองอยู่ในขณะนี้
จาก นั้นก็ใช้อำนาจเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งกรณีถูกยึดทรัพย์คงทำได้ยาก เว้นแต่มีการขออภัยโทษเท่านั้น
นอกจากนั้น ผลพวงจากกรณีนี้ยังต้องถูกดำเนินคดีอาญาที่ตามมาแน่ เพราะมันเกี่ยวโยงไปหลายเรื่อง หลายคดี ซึ่งทำให้รัฐเกิดความเสียหาย เรียกว่าต้องอีกหลายกระทงหลายดอก
แม้แต่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลในยุคนั้น รวมถึงข้าราชการที่เป็นไม้เป็นมือให้ก็ถือว่าร่วมกระทำผิดด้วย จะโดยตั้งใจ รู้เห็นเป็นใจ หรือต้องจำใจเพราะเกรงกลัวอำนาจก็มิอาจหลีกเลี่ยงความผิดไปได้
โดย เฉพาะรัฐมนตรีบางคนที่สนิทใกล้ชิด และทำตัวเป็น "ม้าใช้" อย่างสุดใจ ยิ่งต้องถูกลงโทษอย่างหนักตาม "เจ้านาย" ไปด้วย เพราะรู้เห็นเป็นใจแล้วยังออกมาปกป้องเอาภาพลักษณ์ของตัวเองไปประกัน
เพียง เพื่ออำนาจ ตำแหน่ง และผลประโยชน์เท่านั้น.
สายล่อฟ้า
http://www.thairath.co.th/column/pol/gladai/68353
หรือแม้แต่ผู้พิพากษาท่านหนึ่งที่ลงมติไม่ เห็นด้วยกับ 4 ประเด็น ทำให้ไม่เป็นเอกฉันท์ แต่เนื่องจากประเด็นซุกหุ้นมีการลงมติเอกฉันท์ ซึ่งถือว่ามีความผิด ดังนั้น ในมติยึดทรัพย์จึงต้องเห็นด้วย เพราะมิฉะนั้น จะแย้งกับความเห็นในเรื่องซุกหุ้น
อย่างไรก็ดี ในส่วนของการยื่นอุทธรณ์นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะจะต้องเป็นหลักฐานใหม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมายที่จะมาล้มล้างคำพิพากษา ไม่ใช่การตีความจึงจะได้รับการพิจารณา
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็น เรื่องยาก
ทั้งนี้ เพราะคำพิพากษาที่ออกมานั้นมีความละเอียด รัดกุม ยึดโยงกฎหมายทุกขั้นตอน จนแทบจะไม่มีช่องโหว่ให้โต้แย้งได้เลย ทำให้เห็นเส้นทางการกระทำความผิด การใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและบริษัทอย่างชัดเจน
เรียกว่าโกง อย่างครอบจักรวาลเลยทีเดียว
แน่นอนว่าพฤติกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น มีการวางแผนอย่างแยบยลทุกขั้นตอน ซึ่งแน่นอนว่าการเอาหุ้นไปซุกให้ลูกและเครือญาติ โดยมั่นใจว่าจะไม่มีใครจับได้ไล่ทัน แต่สุดท้ายก็อย่างคำพิพากษาที่ออกมาคือไม่สามารถหลีกหนีความจริงไปได้
กลาย เป็น "ตราบาป" ให้ลูกต้องรับเคราะห์ไปด้วย ซึ่งจะไปโทษใครไม่ได้เพราะทำตัวของตัวเอง และเป็นความโลภที่ไม่รู้จักเพียงพอ
กฎ กติกาสำหรับนักการเมืองมีความชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้ว ดังนั้น การเข้ามาเป็นนักการเมือง ไม่ว่าจะมีอาชีพอะไร ร่ำรวยมากน้อยแค่ไหน เศรษฐีหมื่นล้านแสนล้านก็ต้องปฏิบัติตาม
ที่บอกว่าต่อไปนี้คนรวย นักธุรกิจ ไม่มีทางเข้าสู่การเมืองได้ จึงเป็นคำแก้ตัว และทำให้บรรดานักธุรกิจเกิดแหยงเท่านั้น เพราะหากสนใจเล่นการเมืองก็เข้ามาได้ เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกติกามันก็แค่นั้นเอง ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก
เพียง แต่อย่าใช้การเมืองเป็นเครื่องมือหรือช่องทางหาประโยชน์ ส่วนตัว ใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ของธุรกิจ
เพราะการเมืองไม่ใช่ธุรกิจที่ จะเข้ามาต่อยอดหรือสร้างความร่ำรวยให้เพิ่มขึ้น แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนด้วยความเสียสละ ซื่อสัตย์ โปร่งใส แม้จะเก่งกาจสามารถแค่ไหนก็ตาม
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงเป็น "ธุรกิจการเมือง" ของคนที่ไม่รู้จักพอ
เหนืออื่นใด จากคำพิพากษายึดทรัพย์ที่ออกมาทำให้ พ.ต.ท. ทักษิณหมดโอกาสที่จะเล่นการเมืองตลอดชีวิต เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดบทลงโทษเอาไว้ เว้นแต่จะได้อำนาจทางการเมืองจากการป่วนบ้านป่วนเมืองอยู่ในขณะนี้
จาก นั้นก็ใช้อำนาจเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งกรณีถูกยึดทรัพย์คงทำได้ยาก เว้นแต่มีการขออภัยโทษเท่านั้น
นอกจากนั้น ผลพวงจากกรณีนี้ยังต้องถูกดำเนินคดีอาญาที่ตามมาแน่ เพราะมันเกี่ยวโยงไปหลายเรื่อง หลายคดี ซึ่งทำให้รัฐเกิดความเสียหาย เรียกว่าต้องอีกหลายกระทงหลายดอก
แม้แต่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลในยุคนั้น รวมถึงข้าราชการที่เป็นไม้เป็นมือให้ก็ถือว่าร่วมกระทำผิดด้วย จะโดยตั้งใจ รู้เห็นเป็นใจ หรือต้องจำใจเพราะเกรงกลัวอำนาจก็มิอาจหลีกเลี่ยงความผิดไปได้
โดย เฉพาะรัฐมนตรีบางคนที่สนิทใกล้ชิด และทำตัวเป็น "ม้าใช้" อย่างสุดใจ ยิ่งต้องถูกลงโทษอย่างหนักตาม "เจ้านาย" ไปด้วย เพราะรู้เห็นเป็นใจแล้วยังออกมาปกป้องเอาภาพลักษณ์ของตัวเองไปประกัน
เพียง เพื่ออำนาจ ตำแหน่ง และผลประโยชน์เท่านั้น.
สายล่อฟ้า
http://www.thairath.co.th/column/pol/gladai/68353
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ