ข่าว 5 มีคน 53
หน้า 1 จาก 1
ข่าว 5 มีคน 53
วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:48:01 น. มติชนออนไลน์
"แม้ว"เพ้อจะเนรมิตเขื่อนป้องกันน้ำท่วมรอบกรุงเทพฯ ให้สวยสุดในโลกอ้างมีหนุ่มเสนอตัวยอมพลีชีพแต่ไม่เอา
"ทักษิณ"จวก"ป๋าเปรม"ทำประเทศถอยหลัง 50ปี ชอบหุ่นเชิด"มาร์ค"มากกว่า"บิ๊กบัง ปลอบคนกรุงอย่ากลัวน้ำท่วม ถ้าเอากลับไปจะสร้างเขื่อนรอบกรุงให้สวยที่สุดในโลก เมินหนุ่มติดหนี้บุญคุณ30บาทเสนอตัวยอมพลีชีพ ปลุกสาวกแดงโคราชพร้อมเพรียง14มี.ค.
เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 5 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าววิดีโอลิงก์ในการชุมนุมปราศรัยของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่งชาติ "เคลื่อนพลคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน" ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี(ย่าโม) จังหวัดนครราชสีมา ว่า เคยไปนครราชสีมาครั้งแรกตั้งแต่อายุ 15 ปี ได้ไปไหว้ย่าโมและลอดประตูชุมพล ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้าใครได้ลอดแล้วจะได้กลับมาอีก เมื่อกลับไปเมืองไทยครั้งที่แล้วก็ได้ลอด เชื่อว่าจะได้กลับไปหาพี่น้องชาวโคราชอีกเร็วๆนี้
จำได้เคยไปโคราชเมื่อครั้งปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ขณะลงมาจากเวที ได้มีชายคนหนึ่งถอดเสื้อให้ดูหน้าอก มีรอยผ่ายาว เขาบอกว่าเพราะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคจึงได้ผ่าตัดหัวใจ ตอนนี้ก็ส่งลูกเรียนหนังสือจนจบ ไม่ห่วงอะไรแล้ว ขอให้ตนอนุญาตจัดระเบิดให้เขาหน่อย เขาจะไปพลีชีพ แต่ตนไม่คิดทำร้ายใคร คิดว่าแนวทางการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตยจะชนะในที่สุด
อดีตนายกฯ กล่าวว่า เที่ยวนี้ขอให้ไปกันเยอะๆ ไหลกันไปเหมือนแม่น้ำสีแดงไหลเข้ากรุงเทพฯ แล้วเราจะชนะอย่างเดียว ประชาธิปไตยจะกลับมาสู่มือคนไทยทั้งแผ่นดิน วันนี้ บ้านไม่มีความเป็นประชาธิปไตย บ้านเมืองในภาวการณ์ปฏิวัติ เพราะหัวหน้าปฏิวัติยังเป็นคนเดิมอยู่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) เป็นเพียงหุ่นเชิดของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
"ตอนนี้มีหุ่นเชิดตัวใหม่ หน้าตาดี ฉอเลาะมากกว่า คุณเปรมเลยชอบอภิสทธิ์ (เวชชาชีวะ นายกฯ) กว่าบิ๊กบัง เพราะสเปกใช่"
วันนี้อำมาตย์ พล.อ.เปรมและคณะได้ทำให้ประเทศไทยสูญ ย้อนหลังไป 50 ปี พล.อ.เปรมอย่าคิดเอาประเทศย้อนหลังแล้วตัวเองจะหนุ่มขึ้น หากตนได้กลับไปประเทศไทย ภารกิจแรกจะปลดหนี้ให้พี่น้องทั้งแผ่นดิน 6เดือนแรกจะปราบยาเสพติดให้สิ้นซาก 6เดือนที่2จะหาเงินให้คนไทยใช้กันถ้วนหน้า และ6เดือนที่3 จะสร้างงานให้ลูกหลานที่เรียนจบออกมามีงานทำ
"ตอนนี้มีข่าวว่าคนกรุงเทพฯ กลัวน้ำท่วม ถ้ากลัวต้องต้องเอาผมกลับไปเร็วๆ ผมจะสร้างเขื่อนทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็นเขื่อนที่สวยงามที่สุดในโลก โดยไม่ต้องกู้เงินสักบาทเดียว"
"วันที่ 14 มีนาคม พี่น้องต้องพร้อมเพรียงกัน ถ้าอยากได้ประชาธิปไตย ความยุติธรรม และความเสมอภาคคืนมา เอาประเทศไทยที่คุณเปรมทำให้ถอยหลัง 50 ปี คืนมาให้ทันโลกสักที"
คราวหน้าเลือกตั้งช่วยเลือกพวกของตนด้วย คนที่หักหลังตนอย่าไปเลือก ครั้งแรกอุตส่าห์ไปผัดหมี่โคราชบ้านคนนั้น อย่าเลือก เขาไม่รักพี่น้องหรอก
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โชว์ตัวบุคคลที่เดินทางไปเยี่ยม ประกอบด้วย นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และนายอุดม มั่งมีดีอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
"แม้ว"เพ้อจะเนรมิตเขื่อนป้องกันน้ำท่วมรอบกรุงเทพฯ ให้สวยสุดในโลกอ้างมีหนุ่มเสนอตัวยอมพลีชีพแต่ไม่เอา
"ทักษิณ"จวก"ป๋าเปรม"ทำประเทศถอยหลัง 50ปี ชอบหุ่นเชิด"มาร์ค"มากกว่า"บิ๊กบัง ปลอบคนกรุงอย่ากลัวน้ำท่วม ถ้าเอากลับไปจะสร้างเขื่อนรอบกรุงให้สวยที่สุดในโลก เมินหนุ่มติดหนี้บุญคุณ30บาทเสนอตัวยอมพลีชีพ ปลุกสาวกแดงโคราชพร้อมเพรียง14มี.ค.
เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 5 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าววิดีโอลิงก์ในการชุมนุมปราศรัยของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่งชาติ "เคลื่อนพลคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน" ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี(ย่าโม) จังหวัดนครราชสีมา ว่า เคยไปนครราชสีมาครั้งแรกตั้งแต่อายุ 15 ปี ได้ไปไหว้ย่าโมและลอดประตูชุมพล ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้าใครได้ลอดแล้วจะได้กลับมาอีก เมื่อกลับไปเมืองไทยครั้งที่แล้วก็ได้ลอด เชื่อว่าจะได้กลับไปหาพี่น้องชาวโคราชอีกเร็วๆนี้
จำได้เคยไปโคราชเมื่อครั้งปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ขณะลงมาจากเวที ได้มีชายคนหนึ่งถอดเสื้อให้ดูหน้าอก มีรอยผ่ายาว เขาบอกว่าเพราะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคจึงได้ผ่าตัดหัวใจ ตอนนี้ก็ส่งลูกเรียนหนังสือจนจบ ไม่ห่วงอะไรแล้ว ขอให้ตนอนุญาตจัดระเบิดให้เขาหน่อย เขาจะไปพลีชีพ แต่ตนไม่คิดทำร้ายใคร คิดว่าแนวทางการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตยจะชนะในที่สุด
อดีตนายกฯ กล่าวว่า เที่ยวนี้ขอให้ไปกันเยอะๆ ไหลกันไปเหมือนแม่น้ำสีแดงไหลเข้ากรุงเทพฯ แล้วเราจะชนะอย่างเดียว ประชาธิปไตยจะกลับมาสู่มือคนไทยทั้งแผ่นดิน วันนี้ บ้านไม่มีความเป็นประชาธิปไตย บ้านเมืองในภาวการณ์ปฏิวัติ เพราะหัวหน้าปฏิวัติยังเป็นคนเดิมอยู่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) เป็นเพียงหุ่นเชิดของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
"ตอนนี้มีหุ่นเชิดตัวใหม่ หน้าตาดี ฉอเลาะมากกว่า คุณเปรมเลยชอบอภิสทธิ์ (เวชชาชีวะ นายกฯ) กว่าบิ๊กบัง เพราะสเปกใช่"
วันนี้อำมาตย์ พล.อ.เปรมและคณะได้ทำให้ประเทศไทยสูญ ย้อนหลังไป 50 ปี พล.อ.เปรมอย่าคิดเอาประเทศย้อนหลังแล้วตัวเองจะหนุ่มขึ้น หากตนได้กลับไปประเทศไทย ภารกิจแรกจะปลดหนี้ให้พี่น้องทั้งแผ่นดิน 6เดือนแรกจะปราบยาเสพติดให้สิ้นซาก 6เดือนที่2จะหาเงินให้คนไทยใช้กันถ้วนหน้า และ6เดือนที่3 จะสร้างงานให้ลูกหลานที่เรียนจบออกมามีงานทำ
"ตอนนี้มีข่าวว่าคนกรุงเทพฯ กลัวน้ำท่วม ถ้ากลัวต้องต้องเอาผมกลับไปเร็วๆ ผมจะสร้างเขื่อนทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็นเขื่อนที่สวยงามที่สุดในโลก โดยไม่ต้องกู้เงินสักบาทเดียว"
"วันที่ 14 มีนาคม พี่น้องต้องพร้อมเพรียงกัน ถ้าอยากได้ประชาธิปไตย ความยุติธรรม และความเสมอภาคคืนมา เอาประเทศไทยที่คุณเปรมทำให้ถอยหลัง 50 ปี คืนมาให้ทันโลกสักที"
คราวหน้าเลือกตั้งช่วยเลือกพวกของตนด้วย คนที่หักหลังตนอย่าไปเลือก ครั้งแรกอุตส่าห์ไปผัดหมี่โคราชบ้านคนนั้น อย่าเลือก เขาไม่รักพี่น้องหรอก
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โชว์ตัวบุคคลที่เดินทางไปเยี่ยม ประกอบด้วย นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และนายอุดม มั่งมีดีอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
แก้ไขล่าสุดโดย dimistry เมื่อ Sat Mar 06, 2010 6:14 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
Re: ข่าว 5 มีคน 53
วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:00:25 น. มติชนออนไลน์
อัยการจ่อยื่นขอศาลฯบังคับทรัพย์4.6หมื่นล.ตกเป็นของ แผ่นดิน ปธ.วุฒิเตือนยื่นถอดผู้พิพากษาส่อละเมิดศาล
"ประสพสุข"เตือนยื่นถอดถอน2ผู้พิพากษา คดี"แม้ว"ระวังละเมิดศาล ถ้าเป็นเท็จต้องรับผิด อัยการเล็งยื่นขอศาลฯออกคำบังคับทรัพย์4.6หมื่นล้านตกเป็นของแผ่นดิน
"ปธ.วุฒิ"ติงยื่นถอดถอนระวังละเมิดศาล
นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ถึงกรณีนายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทย ยื่นหนังสือเพื่อแสดงเจตจำนงเป็นผู้รวบรวมรายชื่อประชาชนถอดถอน 2 ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กว่า 4.6 หมื่นล้านบาท คือ นายกำพล ภู่สุดแสวง และนายพงษ์เทพ ศิริพงศ์กานนท์ ออกจากตำแหน่ง ว่า ขั้นตอนยังไม่ใช่การเริ่มต้นกระบวนการถอดถอน แค่การแสดงเจตจำนง เป็นเพียงการแจ้งให้ทราบ ต้องรอให้เขามาแสดงตนเป็นผู้รวบรวมรายชื่อก่อน ยังมีอีกหลายขั้นตอน รวมถึงต้องตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อประชาชนที่จะต้องยื่นเข้ามาไม่น้อย กว่า 2 หมื่นรายชื่อด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การแสดงเหตุผลของผู้ยื่นถอดถอนต้องมีความเหมาะสมไม่เช่นนั้นอาจถูกข้อหา ละเมิดศาลใช่หรือไม่ นายประสพสุขกล่าวว่า ผู้ยื่นต้องรับผิดชอบ หากเหตุผลที่ยื่นประกอบมาไม่เป็นความจริง หรือเป็นเท็จต้องรับผิด เพราะคนยื่นเป็นนักกฎหมายซึ่งต้องรู้ดี
เมื่อถามว่า มองการยื่นถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษาคดีนี้อย่างไร นายประสพสุขกล่าวว่า การใช้สิทธิต้องดูด้วยว่ามีโอกาสทำได้ตามนั้นไหม จะคิดแค่ว่าจะใช้สิทธิอะไรก็ได้ต้องดูด้วย ดังนั้น ต้องบรรยายเหตุผลให้เข้าองค์ประกอบ
"อัยการ"เล็งยื่นขอศาลฯบังคับทรัพย์
ด้านนายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย คณะทำงานอัยการคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ขณะนี้อัยการยังไม่สามารถขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็มจากศาลฎีกาฯได้ เนื่องจากยังอยู่ระหว่างที่ศาลฎีกาฯตรวจทานแก้คำผิดและจำนวนตัวเลขที่จะต้อง ลงรายละเอียดอย่างชัดเจน แต่จากการประชุมคณะทำงานอัยการมีความเห็นว่า ควรที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับทรัพย์เพื่อนำไปแจ้งธนาคารผู้ครอบ ครองเงินฝากตามบัญชีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ยกเป็นของแผ่นดินส่งมอบให้กับหน่วย งานที่เกี่ยวข้องต่อไป
นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล รองอธิบดีอัยการคดีพิเศษ หนึ่งในคณะทำงาน ซึ่งได้รับมอบหมายให้ร่างคำบังคับทรัพย์ยื่นเพื่อยื่นต่อศาลฎีกาฯ กล่าวว่า เมื่อศาลฎีกาฯมีคำสั่งให้ทรัพย์สิน 4.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นของแผ่นดิน ถือว่าทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินแล้ว เพราะก่อนหน้านี้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ตรวจยึดบัญชีเงินฝากและหน่วยลงทุนในธนาคารของ พ.ต.ท.ทักษิณไว้แล้วกว่า 6.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งศาลฎีกาฯมีคำสั่งให้ทรัพย์สินผู้ต้องคำพิพากษาจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน จึงสามารถนำคำพิพากษาของศาลฎีกาฯไปติดต่อกับธนาคารผู้ครอบครองบัญชีเงินฝาก และหน่วยลงทุนให้ส่งคืนให้กับแผ่นดินได้ทันที เพราะทรัพย์ที่อายัดไว้มีมากกว่าที่ศาลฎีกาฯพิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดิน จึงน่าที่จะยึดได้ครบตามจำนวน
"แต่เพื่อความรอบคอบคณะทำงานอัยการเห็นว่า ควรที่จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯเพื่อออกคำบังคับทรัพย์ให้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูฝ่ายผู้ต้องคำพิพากษาว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีนี้หรือไม่ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลฎีกาฯมีคำพิพากษา ถ้าฝ่ายผู้ต้องคำพิพากษาไม่ยื่นอุทธรณ์ อัยการจะยื่นคำร้องขอศาลออกคำบังคับทรัพย์ แต่หากฝ่ายผู้ต้องคำพิพากษายื่นอุทธรณ์แล้ว ตามขั้นตอนศาลฎีกาฯจะสำเนาอุทธรณ์ของผู้ต้องคำบังคับทรัพย์ให้อัยการเพื่อทำ คำแก้อุทธรณ์ยื่นต่อศาลฎีกาฯ จากนั้นเป็นหน้าที่ของศาลฎีกาฯที่จะเลือกองค์คณะผู้พิพากษาชุดใหม่ 5 คน มาพิจารณาว่าจะรับอุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษาหรือไม่ ที่จะต้องพิจารณาว่ามีพยานหลักฐานใหม่หรือไม่" นายสุรศักดิ์กล่าว
อัยการจ่อยื่นขอศาลฯบังคับทรัพย์4.6หมื่นล.ตกเป็นของ แผ่นดิน ปธ.วุฒิเตือนยื่นถอดผู้พิพากษาส่อละเมิดศาล
"ประสพสุข"เตือนยื่นถอดถอน2ผู้พิพากษา คดี"แม้ว"ระวังละเมิดศาล ถ้าเป็นเท็จต้องรับผิด อัยการเล็งยื่นขอศาลฯออกคำบังคับทรัพย์4.6หมื่นล้านตกเป็นของแผ่นดิน
"ปธ.วุฒิ"ติงยื่นถอดถอนระวังละเมิดศาล
นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ถึงกรณีนายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทย ยื่นหนังสือเพื่อแสดงเจตจำนงเป็นผู้รวบรวมรายชื่อประชาชนถอดถอน 2 ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กว่า 4.6 หมื่นล้านบาท คือ นายกำพล ภู่สุดแสวง และนายพงษ์เทพ ศิริพงศ์กานนท์ ออกจากตำแหน่ง ว่า ขั้นตอนยังไม่ใช่การเริ่มต้นกระบวนการถอดถอน แค่การแสดงเจตจำนง เป็นเพียงการแจ้งให้ทราบ ต้องรอให้เขามาแสดงตนเป็นผู้รวบรวมรายชื่อก่อน ยังมีอีกหลายขั้นตอน รวมถึงต้องตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อประชาชนที่จะต้องยื่นเข้ามาไม่น้อย กว่า 2 หมื่นรายชื่อด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การแสดงเหตุผลของผู้ยื่นถอดถอนต้องมีความเหมาะสมไม่เช่นนั้นอาจถูกข้อหา ละเมิดศาลใช่หรือไม่ นายประสพสุขกล่าวว่า ผู้ยื่นต้องรับผิดชอบ หากเหตุผลที่ยื่นประกอบมาไม่เป็นความจริง หรือเป็นเท็จต้องรับผิด เพราะคนยื่นเป็นนักกฎหมายซึ่งต้องรู้ดี
เมื่อถามว่า มองการยื่นถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษาคดีนี้อย่างไร นายประสพสุขกล่าวว่า การใช้สิทธิต้องดูด้วยว่ามีโอกาสทำได้ตามนั้นไหม จะคิดแค่ว่าจะใช้สิทธิอะไรก็ได้ต้องดูด้วย ดังนั้น ต้องบรรยายเหตุผลให้เข้าองค์ประกอบ
"อัยการ"เล็งยื่นขอศาลฯบังคับทรัพย์
ด้านนายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย คณะทำงานอัยการคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ขณะนี้อัยการยังไม่สามารถขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็มจากศาลฎีกาฯได้ เนื่องจากยังอยู่ระหว่างที่ศาลฎีกาฯตรวจทานแก้คำผิดและจำนวนตัวเลขที่จะต้อง ลงรายละเอียดอย่างชัดเจน แต่จากการประชุมคณะทำงานอัยการมีความเห็นว่า ควรที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับทรัพย์เพื่อนำไปแจ้งธนาคารผู้ครอบ ครองเงินฝากตามบัญชีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ยกเป็นของแผ่นดินส่งมอบให้กับหน่วย งานที่เกี่ยวข้องต่อไป
นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล รองอธิบดีอัยการคดีพิเศษ หนึ่งในคณะทำงาน ซึ่งได้รับมอบหมายให้ร่างคำบังคับทรัพย์ยื่นเพื่อยื่นต่อศาลฎีกาฯ กล่าวว่า เมื่อศาลฎีกาฯมีคำสั่งให้ทรัพย์สิน 4.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นของแผ่นดิน ถือว่าทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินแล้ว เพราะก่อนหน้านี้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ตรวจยึดบัญชีเงินฝากและหน่วยลงทุนในธนาคารของ พ.ต.ท.ทักษิณไว้แล้วกว่า 6.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งศาลฎีกาฯมีคำสั่งให้ทรัพย์สินผู้ต้องคำพิพากษาจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน จึงสามารถนำคำพิพากษาของศาลฎีกาฯไปติดต่อกับธนาคารผู้ครอบครองบัญชีเงินฝาก และหน่วยลงทุนให้ส่งคืนให้กับแผ่นดินได้ทันที เพราะทรัพย์ที่อายัดไว้มีมากกว่าที่ศาลฎีกาฯพิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดิน จึงน่าที่จะยึดได้ครบตามจำนวน
"แต่เพื่อความรอบคอบคณะทำงานอัยการเห็นว่า ควรที่จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯเพื่อออกคำบังคับทรัพย์ให้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูฝ่ายผู้ต้องคำพิพากษาว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีนี้หรือไม่ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลฎีกาฯมีคำพิพากษา ถ้าฝ่ายผู้ต้องคำพิพากษาไม่ยื่นอุทธรณ์ อัยการจะยื่นคำร้องขอศาลออกคำบังคับทรัพย์ แต่หากฝ่ายผู้ต้องคำพิพากษายื่นอุทธรณ์แล้ว ตามขั้นตอนศาลฎีกาฯจะสำเนาอุทธรณ์ของผู้ต้องคำบังคับทรัพย์ให้อัยการเพื่อทำ คำแก้อุทธรณ์ยื่นต่อศาลฎีกาฯ จากนั้นเป็นหน้าที่ของศาลฎีกาฯที่จะเลือกองค์คณะผู้พิพากษาชุดใหม่ 5 คน มาพิจารณาว่าจะรับอุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษาหรือไม่ ที่จะต้องพิจารณาว่ามีพยานหลักฐานใหม่หรือไม่" นายสุรศักดิ์กล่าว
Re: ข่าว 5 มีคน 53
วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:48:01 น. มติชนออนไลน์
"แม้ว"เพ้อจะเนรมิตเขื่อนป้องกันน้ำท่วมรอบกรุงเทพฯ ให้สวยสุดในโลกอ้างมีหนุ่มเสนอตัวยอมพลีชีพแต่ไม่เอา
"ทักษิณ"จวก"ป๋าเปรม"ทำประเทศถอยหลัง 50ปี ชอบหุ่นเชิด"มาร์ค"มากกว่า"บิ๊กบัง ปลอบคนกรุงอย่ากลัวน้ำท่วม ถ้าเอากลับไปจะสร้างเขื่อนรอบกรุงให้สวยที่สุดในโลก เมินหนุ่มติดหนี้บุญคุณ30บาทเสนอตัวยอมพลีชีพ ปลุกสาวกแดงโคราชพร้อมเพรียง14มี.ค.
เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 5 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าววิดีโอลิงก์ในการชุมนุมปราศรัยของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่งชาติ "เคลื่อนพลคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน" ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี(ย่าโม) จังหวัดนครราชสีมา ว่า เคยไปนครราชสีมาครั้งแรกตั้งแต่อายุ 15 ปี ได้ไปไหว้ย่าโมและลอดประตูชุมพล ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้าใครได้ลอดแล้วจะได้กลับมาอีก เมื่อกลับไปเมืองไทยครั้งที่แล้วก็ได้ลอด เชื่อว่าจะได้กลับไปหาพี่น้องชาวโคราชอีกเร็วๆนี้
จำได้เคยไปโคราชเมื่อครั้งปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ขณะลงมาจากเวที ได้มีชายคนหนึ่งถอดเสื้อให้ดูหน้าอก มีรอยผ่ายาว เขาบอกว่าเพราะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคจึงได้ผ่าตัดหัวใจ ตอนนี้ก็ส่งลูกเรียนหนังสือจนจบ ไม่ห่วงอะไรแล้ว ขอให้ตนอนุญาตจัดระเบิดให้เขาหน่อย เขาจะไปพลีชีพ แต่ตนไม่คิดทำร้ายใคร คิดว่าแนวทางการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตยจะชนะในที่สุด
อดีตนายกฯ กล่าวว่า เที่ยวนี้ขอให้ไปกันเยอะๆ ไหลกันไปเหมือนแม่น้ำสีแดงไหลเข้ากรุงเทพฯ แล้วเราจะชนะอย่างเดียว ประชาธิปไตยจะกลับมาสู่มือคนไทยทั้งแผ่นดิน วันนี้ บ้านไม่มีความเป็นประชาธิปไตย บ้านเมืองในภาวการณ์ปฏิวัติ เพราะหัวหน้าปฏิวัติยังเป็นคนเดิมอยู่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) เป็นเพียงหุ่นเชิดของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
"ตอนนี้มีหุ่นเชิดตัวใหม่ หน้าตาดี ฉอเลาะมากกว่า คุณเปรมเลยชอบอภิสทธิ์ (เวชชาชีวะ นายกฯ) กว่าบิ๊กบัง เพราะสเปกใช่"
วันนี้อำมาตย์ พล.อ.เปรมและคณะได้ทำให้ประเทศไทยสูญ ย้อนหลังไป 50 ปี พล.อ.เปรมอย่าคิดเอาประเทศย้อนหลังแล้วตัวเองจะหนุ่มขึ้น หากตนได้กลับไปประเทศไทย ภารกิจแรกจะปลดหนี้ให้พี่น้องทั้งแผ่นดิน 6เดือนแรกจะปราบยาเสพติดให้สิ้นซาก 6เดือนที่2จะหาเงินให้คนไทยใช้กันถ้วนหน้า และ6เดือนที่3 จะสร้างงานให้ลูกหลานที่เรียนจบออกมามีงานทำ
"ตอนนี้มีข่าวว่าคนกรุงเทพฯ กลัวน้ำท่วม ถ้ากลัวต้องต้องเอาผมกลับไปเร็วๆ ผมจะสร้างเขื่อนทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็นเขื่อนที่สวยงามที่สุดในโลก โดยไม่ต้องกู้เงินสักบาทเดียว"
"วันที่ 14 มีนาคม พี่น้องต้องพร้อมเพรียงกัน ถ้าอยากได้ประชาธิปไตย ความยุติธรรม และความเสมอภาคคืนมา เอาประเทศไทยที่คุณเปรมทำให้ถอยหลัง 50 ปี คืนมาให้ทันโลกสักที"
คราวหน้าเลือกตั้งช่วยเลือกพวกของตนด้วย คนที่หักหลังตนอย่าไปเลือก ครั้งแรกอุตส่าห์ไปผัดหมี่โคราชบ้านคนนั้น อย่าเลือก เขาไม่รักพี่น้องหรอก
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โชว์ตัวบุคคลที่เดินทางไปเยี่ยม ประกอบด้วย นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และนายอุดม มั่งมีดีอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
"แม้ว"เพ้อจะเนรมิตเขื่อนป้องกันน้ำท่วมรอบกรุงเทพฯ ให้สวยสุดในโลกอ้างมีหนุ่มเสนอตัวยอมพลีชีพแต่ไม่เอา
"ทักษิณ"จวก"ป๋าเปรม"ทำประเทศถอยหลัง 50ปี ชอบหุ่นเชิด"มาร์ค"มากกว่า"บิ๊กบัง ปลอบคนกรุงอย่ากลัวน้ำท่วม ถ้าเอากลับไปจะสร้างเขื่อนรอบกรุงให้สวยที่สุดในโลก เมินหนุ่มติดหนี้บุญคุณ30บาทเสนอตัวยอมพลีชีพ ปลุกสาวกแดงโคราชพร้อมเพรียง14มี.ค.
เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 5 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าววิดีโอลิงก์ในการชุมนุมปราศรัยของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่งชาติ "เคลื่อนพลคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน" ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี(ย่าโม) จังหวัดนครราชสีมา ว่า เคยไปนครราชสีมาครั้งแรกตั้งแต่อายุ 15 ปี ได้ไปไหว้ย่าโมและลอดประตูชุมพล ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้าใครได้ลอดแล้วจะได้กลับมาอีก เมื่อกลับไปเมืองไทยครั้งที่แล้วก็ได้ลอด เชื่อว่าจะได้กลับไปหาพี่น้องชาวโคราชอีกเร็วๆนี้
จำได้เคยไปโคราชเมื่อครั้งปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ขณะลงมาจากเวที ได้มีชายคนหนึ่งถอดเสื้อให้ดูหน้าอก มีรอยผ่ายาว เขาบอกว่าเพราะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคจึงได้ผ่าตัดหัวใจ ตอนนี้ก็ส่งลูกเรียนหนังสือจนจบ ไม่ห่วงอะไรแล้ว ขอให้ตนอนุญาตจัดระเบิดให้เขาหน่อย เขาจะไปพลีชีพ แต่ตนไม่คิดทำร้ายใคร คิดว่าแนวทางการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตยจะชนะในที่สุด
อดีตนายกฯ กล่าวว่า เที่ยวนี้ขอให้ไปกันเยอะๆ ไหลกันไปเหมือนแม่น้ำสีแดงไหลเข้ากรุงเทพฯ แล้วเราจะชนะอย่างเดียว ประชาธิปไตยจะกลับมาสู่มือคนไทยทั้งแผ่นดิน วันนี้ บ้านไม่มีความเป็นประชาธิปไตย บ้านเมืองในภาวการณ์ปฏิวัติ เพราะหัวหน้าปฏิวัติยังเป็นคนเดิมอยู่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) เป็นเพียงหุ่นเชิดของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
"ตอนนี้มีหุ่นเชิดตัวใหม่ หน้าตาดี ฉอเลาะมากกว่า คุณเปรมเลยชอบอภิสทธิ์ (เวชชาชีวะ นายกฯ) กว่าบิ๊กบัง เพราะสเปกใช่"
วันนี้อำมาตย์ พล.อ.เปรมและคณะได้ทำให้ประเทศไทยสูญ ย้อนหลังไป 50 ปี พล.อ.เปรมอย่าคิดเอาประเทศย้อนหลังแล้วตัวเองจะหนุ่มขึ้น หากตนได้กลับไปประเทศไทย ภารกิจแรกจะปลดหนี้ให้พี่น้องทั้งแผ่นดิน 6เดือนแรกจะปราบยาเสพติดให้สิ้นซาก 6เดือนที่2จะหาเงินให้คนไทยใช้กันถ้วนหน้า และ6เดือนที่3 จะสร้างงานให้ลูกหลานที่เรียนจบออกมามีงานทำ
"ตอนนี้มีข่าวว่าคนกรุงเทพฯ กลัวน้ำท่วม ถ้ากลัวต้องต้องเอาผมกลับไปเร็วๆ ผมจะสร้างเขื่อนทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็นเขื่อนที่สวยงามที่สุดในโลก โดยไม่ต้องกู้เงินสักบาทเดียว"
"วันที่ 14 มีนาคม พี่น้องต้องพร้อมเพรียงกัน ถ้าอยากได้ประชาธิปไตย ความยุติธรรม และความเสมอภาคคืนมา เอาประเทศไทยที่คุณเปรมทำให้ถอยหลัง 50 ปี คืนมาให้ทันโลกสักที"
คราวหน้าเลือกตั้งช่วยเลือกพวกของตนด้วย คนที่หักหลังตนอย่าไปเลือก ครั้งแรกอุตส่าห์ไปผัดหมี่โคราชบ้านคนนั้น อย่าเลือก เขาไม่รักพี่น้องหรอก
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โชว์ตัวบุคคลที่เดินทางไปเยี่ยม ประกอบด้วย นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และนายอุดม มั่งมีดีอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
Re: ข่าว 5 มีคน 53
วันที่ 06 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 12:20:59 น. มติชนออนไลน์
นายกฯ รับได้กลิ่นก่อวินาศกรรม ปชป.ปูดอีก"วอยซ์ ออฟ ทักษิณ" แพร่บทความ"บ้านจะดีต้องเริ่มที่พ่อ"
นายกฯมอบ"สุเทพ"คุมระหว่างเยือนออสซี่ เบรกอีแต๋นเคลื่อนมท.1ขานรับสกัดไม่งามกรุง "อนุพงษ์" โยน "เทพเทือก" ตัดสินใช้ พ.ร.บ.มั่นคง ยอมรับห่วงแดงชุมนุมแต่เชื่อไม่รุนแรง ไม่ตกใจชื่อติดโผบัญชีดำเสื้อแดง "เสธ.ทบ." รับคตม.ห่วงก่อวินาศกรรม
ปชป.ปูด"วอยซ์ ออฟ ทักษิณ" แพร่บทความไม่เหมาะสม
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเมื่อวันที่ 6 มีนาคมว่า พรรคประชาธิปัตย์ประเมินความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงว่าจะเคลื่อนไหวใน 3 รูปแบบ เพื่อสร้างความขัดแย้งนำสู่ความรุนแรงคือ 1. รูปแบบการสร้างข้อมูลเท็จ โดยแยกได้จำนวน 7 เรื่องคือ 1.1 สร้างเรื่องเท็จว่ารัฐบาลขึ้นบัญชีดำผู้เกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 212 คน 1.2 ขยายผลคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรีให้คนคิดว่ารัฐบาลเตรียมปราบการชุมนุมในวัน ที่ 12-14 1.3 เตรียมสร้างสถานการณ์ปลอมแปลงบุคคลเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร เพื่อกระทำการเกินเหตุต่อผู้ชุมนุม ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ชุมนุม โดยหากใครเห็นผู้ใส่ชุดลายพรางแล้วมีพฤติกรรมน่าสงสัย ขอให้แจ้งทางรัฐบาลโดยด่วน 1.4 สร้างข่าวความขัดแย้งระหว่างรัฐและศาสนจักร หวังให้ลูกศิษย์วัดออกมาร่วมเคลื่อนไหว 1.5 ปล่อยข่าวว่าการทำงานของศาลมีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง 1.6 สร้างข่าวผู้ชุมนุมหลายร้อยคนหายในเหตุการณ์เดือนเม.ย. เพื่อให้คนออกมาแก้แค้นรัฐบาล และ 1.7 ปล่อยข่าวปฏิวัติ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า 2. รูปแบบการยกระดับความรุนแรง โดยดำเนินการ 3 ระดับ คือ 2.1 แกนนำนปช. ใช้ยุทธศาสตร์ป่าล้างเมือง เพื่อให้การจราจรใน กทม.เป็นอัมพาต 2.2 กลุ่มแดงสยาม จะรับช่วงมาดำเนินการนำสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในลักษณะรัฐใหม่ ไม่มีการปกครองที่มีสถาบันกษัตริย์เป็นองค์ประมุข และ 2.3 เครือข่ายแนวร่วมด้านความมั่นคงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แกนนำด้านความมั่นคงพร้อมใช้กำลัง มีการฝึกจรยุทธ์ผ่านโรงเรียนกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อก่อวินาศกรรม ซึ่งรัฐบาลได้ติดตามดำเนินการอย่างต่อเนื่องแล้ว ส่วนรูปแบบที่ 3 ถือว่าน่าวิตกที่สุดคือ การพาดพิงสถาบันสูงสุดของชาติ โดยคนไทยต้องร่วมกันปกป้อง โดยล่าสุด สื่อสิ่งพิมพ์ "วอยซ์ ออฟ ทักษิณ" ได้ตีพิมพ์บทความบ้านจะดีต้องเริ่มที่พ่อ ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสม
นายกฯรับมี รายงานก่อวินาศกรรมปัดสั่งโรยเรือใบสกัดเสื้อแดง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ถึงกรณีที่มีรายงานข่าวการก่อวินาศกรรมระหว่างที่กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุท 14 มีนาคม ยอมรับว่ามีการข่าวรายงานว่าจะมีการก่อวินาศกรรม พร้อมโต้พรรคเพื่อไทยว่ารัฐบาลไม่เคยสั่งให้โรยตะปู เรือใบ เพื่อสกัดรถเข้ากทม.
"อนุพงษ์" โยน "สุเทพ" ตัดสินใช้ พ.ร.บ.มั่นคง
ก่อนหน้านี้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ถึงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงระหว่างวันที่ 12-14 มี.ค.นี้ว่า ตนไม่ได้สั่งให้กองทัพเตรียมพร้อมอะไร แต่สื่อเขียนไปเอง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เพียงให้ติดตามสถานการณ์ ขณะนี้เรายังอยู่ในภาวะปกติ คือ เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน เมื่อได้รับการร้องขอมาและตั้งจุดตรวจร่วม ยังไม่มีอะไรพิเศษกว่านั้น ทั้งนี้ เชื่อว่าสังคมต้องมีทางออก เราต้องอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสามัคคี เพราะผลกระทบเรื่องนี้มีมาก ทุกฝ่ายห่วงใยตน สื่อก็เป็นห่วง อยากให้เหตุการณ์ปกติ ตนเชื่อว่าคงไม่เกิดเหตุรุนแรงอะไร เพราะคนไทยด้วยกันคงรู้ว่า เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อทุกคน ดังนั้น ทุกคนหวังว่าจะไม่เกิดเหตุรุนแรง
เมื่อถามถึงการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความ มั่นคง (คตม.) ในวันที่ 8 มี.ค.นี้จะมีการประเมินเพื่อประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า หาก คตม.เห็นอย่างไร ผู้ที่ตัดสินใจคือ นายสุเทพ จะประเมินว่าสมควรประกาศหรือไม่ ซึ่งดูจากหลายมิติทั้งผลกระทบต่อประชาชน เศรษฐกิจ และทุกเรื่อง หากตัดสินใจใช้ก็จะให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ดำเนินการตั้งเรื่องขึ้นไปขออนุมัติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่วนจะประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่วิวัฒนาการของสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนไป หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องประกาศ หากจำเป็นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายสุเทพ
เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงขึ้นบัญชีดำพล .อ.อนุพงษ์ นั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่เห็น เมื่อถามว่า ตกใจหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวพร้อมหัวเราะว่า "จะตกใจ ไปทำไม"
"เสธ.ทบ." รับคตม.ห่วงก่อวินาศกรรม
ที่หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) พล.อ. พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก ในฐานะเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงระหว่างวันที่ 12-14 มี.ค.นี้ว่า ในการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.) แสดงความเป็นห่วงเรื่องที่ประชาชนจะนำรถกระบะ รถอีแต๋น มาปิดเส้นทางการจราจร จึงสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ ในฐานะผอ.รมน.จังหวัด ประสานกับประชาชนที่จะเดินทางมาชุมนุม เพื่อขอร้องไม่ให้นำรถมาปิดเส้นทางการจราจร เพราะจะทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อน แต่กองทัพไม่ได้ตั้งจุดสกัดกั้นกรณีที่ผู้ชุมนุมจะเดินทางมาชุมนุม ทั้งนี้ ในวันจันทร์ที่ 8 มี.ค.นี้จะประชุม คตม.อีกครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์และพิจารณาว่าจำเป็นต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือไม่
"ถ้าประเมินว่าสถานการณ์การชุมนุมส่อไปในทางรุนแรง อาจจะต้องประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อดูแลความเรียบร้อย หากที่ประชุมสรุปว่าจำเป็นต้องประกาศก็จะต้องนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติต่อไป ส่วนการเตรียมกำลังเรามีการดำเนินการเตรียมพร้อมแล้ว โดยใช้แผนรักษาความสงบเรียบร้อยตามปกติไม่มีอะไรซับซ้อน ทั้งนี้ คตม. เป็นห่วงเรื่องการก่อวินาศกรรมของกลุ่มที่พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความ ปั่นป่วนในบ้านเมือง จึงสั่งการให้หน่วยต่าง ๆ เตรียมกำลังให้พร้อมในที่ตั้ง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากตำรวจไม่เพียงพอ ส่วนที่หน่วยงานด้านความมั่นคงติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ และบุคคลบางคน เช่น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรวงคุณวุฒิกองทัพบก หรือนายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือเคทองนั้น เป็นเรื่องปกติที่จะต้องติดตามกลุ่มหรือบุคคลที่จะสร้างความเสียหายให้กับ บ้านเมือง" พล.อ.พิรุณ กล่าว
"มาร์ค" ขออย่าให้คนทำวุ่นชี้ทางปท.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ เปิดแผนกลุ่มคนเสื้อแดงจะให้ ส.ส.ขนคนมาร่วมชุมนุมจำนวน 1 ต่อ 10,000 คน โดยใช้รถปิคอัพ 100 คัน ว่า ตอนนี้มีการประเมินตลอด รัฐบาลจะพยายามบริหารให้เกิดความเรียบร้อย เพราะการชุมนุมโดยสงบถือเป็นสิทธิ แต่การนำรถยนต์และยานพาหนะต่างๆ เข้ามา ต้องให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ที่นายสุเทพพูดไปในเรื่องการบริหารจัดการ เพราะถ้าคนนำยานพาหนะเข้ามามาก จะทำให้เกิดความไม่สะดวกกับทุกฝ่าย ดังนั้น รัฐบาลจะหาทางสื่อสารให้ทราบว่าจะบริหารอย่างไรต่อไป
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หากประกาศทำให้สิ่งที่ผิดกฎหมายคงทำไม่ได้ เชื่อว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่มีวัตถุประสงค์ทำสิ่งผิดกฎหมาย ขออย่าให้ตกเป็นเหยื่อของคนที่ต้องการทำผิดกฎหมาย อย่าให้คนที่อยากให้เกิดความวุ่นวายโกลาหลมาเป็นผู้กำหนดทิศทางการชุมนุม หรือบ้านเมือง และหากประกาศทำให้สิ่งที่ผิดกฎหมายคงทำไม่ได้ ส่วนเรื่องที่อาจมีพระสงฆ์ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงด้วยนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งไม่ควรย้ำ ก่อนหน้านี้ก็พยายามบอกว่ามีแบล๊คลิสต์ ซึ่งมีชื่อพระสงฆ์รวมอยู่ด้วย ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มี ความจริงทุกฝ่ายมีสิทธิหน้าที่ชัดเจนตามกฎหมาย จึงขอให้ยึดตามนั้น
อย่าเป็นเครื่องมือ คนนิยม"รุนแรง"
ผู้สื่อข่าวถาม มีวิธีปลุกพลังเงียบมาสู้อย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คนส่วนใหญ่ของสังคมต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ จึงต้องทำความเข้าใจกับทุกคนว่าบ้านเมืองกำลังเดินหน้า อย่าให้เหตุการณ์อะไรมาทำให้สะดุด ควรให้ความร่วมมือกับรัฐบาลสอดส่องดูแล เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้เกิดความรุนแรง แต่ขออย่าไปทำอะไรให้เกิดการปะทะหรือขัดแย้งให้หมู่ประชาชนด้วยกันเอง เพราะไม่มีความจำเป็น ทุกคนต่างเป็นคนไทยด้วยกัน อารมณ์หงุดหงิดอาจมีได้ แต่อยากให้ช่วยกันพูดให้สถานการณ์เย็นลง อยากให้ช่วยเป็นหูเป็นตา อะไรผิดปกติต้องแจ้งหน่วยงานรัฐ ทั้งนี้ ยังไม่มีความคิดที่จะประกาศให้วันชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง 12-14 มีนาคม เป็นวันหยุดราชการ
เมื่อถามว่า กลุ่มแดงสยามประกาศจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับที่ประเทศเนปาลถือ ว่าส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขอให้สังคมพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ยืนยันรัฐบาลทราบความเคลื่อนไหวอยู่และจะไม่ให้ประสบความสำเร็จ ต้องขอความร่วมมือจากผู้ชุมนุมที่มาเรียกร้องความยุติธรรม หรือประชาธิปไตยต่างๆ เพราะถ้าเกิดความรุนแรงขึ้น ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับผู้ชุมนุมเลย จึงขอว่าอย่าไปเป็นเครื่องมือของคนที่นิยมความรุนแรง และหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ให้"สุเทพ"คุม ระหว่างเยือนออสซี่
นายกฯกล่าวถึง การดูแลคนจำนวนมากไม่ให้กลุ่มมือที่สามเข้าป่วนว่า จะบริหารให้มีการจัดระบบการเคลื่อนไหวต่างๆ ดังนั้น เวลานี้ถ้าเจ้าหน้าที่เช่นตำรวจทหารเข้ามาลาดตระเวนหรือสอดส่องดูแล ขอให้เข้าใจว่ามาช่วยดูแลผู้ชุมนุมเองด้วย อย่าไปหลงคิดว่าเจ้าหน้าที่จะเข้ามาปราบปรามประชาชน เพราะรัฐบาลนี้ไม่มีนโยบายปราบปรามประชาชน มีแต่ต้องรักษากฎหมาย ใครทำผิดกฎหมายต้องถูกดำเนินการ เมื่อถามว่า ระหว่างเดินทางเยือนประเทศออสเตรเลีย 13-17 มีนาคม จะให้ใครรักษาการนายกฯแทน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นไปตามระบบราชการคือนายสุเทพจะเป็นผู้รักษาการ จะไม่มีช่วงเวลาสุญญากาศแน่ ยืนยันว่ากำหนดการเยือนประเทศออสเตรเลียกำหนดไว้ล่วงหน้า เพราะว่าจะมีอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงไม่อยากเลื่อน ส่วนกรณีที่นายสุเทพจะลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 13-14 มีนาคมด้วย จะสอบถามเพื่อขอให้ปรับ คิดว่าคงไม่ยาก
ส่วนเหตุการณ์จะรุนแรงถึงขั้น ต้องประกาศใช้กฎหมายพิเศษหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่จำเป็น แต่คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.) ได้ประเมินตลอด ถ้าจำเป็นก็ประกาศ แต่การใช้ต้องเพื่อความสะดวกในการบริหาร ไม่ได้หวังไปปราบปรามใคร โดยจะประกาศไล่ไปตามลำดับ เริ่มจาก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ซึ่ง 4-5 ครั้งที่เคยใช้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
"สุเทพ"กร้าวสั่งห้าม"อี แต๋น"เคลื่อน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ฟังข่าวว่าในบรรดาที่มาชุมนุมตามการชักชวนของบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะอาศัยรถปิคอัพเข้ามาในกรุงเทพฯจำนวนมาก เข้าใจว่าคนที่วางแผนการชุมนุมตั้งใจที่จะใช้รถปิคอัพจำนวนมากๆ อาจจะมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนคนกรุงเทพฯ ในเรื่องการปิดกั้นการจราจร จึงอยากขอส่งความไปถึงประชาชนที่จะเข้ามาร่วมชุมนุมว่า รัฐบาลไม่ได้ขัดขวางการแสดงออกถึงสิทธิเสรีภาพ แต่อยากจะขอความกรุณาว่า การจราจรในกรุงเทพฯตามปกติก็หนักอยู่แล้ว หากผู้ชุมนุมนำรถยนต์หรือรถปิคอัพของตัวเองมาจำนวนมาก จะมีผลกระทบต่อระบบการจราจรของคนกรุงเทพฯ คนกรุงเทพฯก็จะเดือดร้อน ฉะนั้นผู้ชุมนุมต้องคำนึงถึงความเดือดร้อนของคนกรุงเทพฯด้วย
นายสุเทพย้ำว่า สั่งการให้ทางศาลาว่าการกรุงเทพฯและกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้จัดหาสถานที่สำหรับจอดรถให้บริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ หากผู้ชุมนุมนำรถส่วนบุคคลเข้ามาจำนวนมาก และจะประสานกับกระทรวงคมนาคมให้จัดหารถบริการให้กับผู้ชุมนุมได้จอดรถไว้ใน สถานที่ที่กำหนดเข้ามาชุมนุมในบริเวณที่ชุมนุมได้ เช่น หากมาจากภาคเหนือและอีสานจะให้จอดรถไว้ที่ดอนเมือง ซึ่งจะประกาศให้ผู้ชุมนุมรับทราบอีกครั้งหนึ่ง
"หากยังมีการนำรถเข้ามาจอดขวางการจราจรหรือตามท้อง ถนนต่างๆ ผมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายระดมจัดเตรียมรถยกมา เพื่อยกรถที่กีดขวางออกจากผิวจราจร ซึ่งกรณีนี้ผมได้ตรวจสอบแล้วว่า หากเกิดความเสียหายต่อรถยนต์ ปัญหาก็คือบริษัทประกันภัยทั้งหลายอาจจะไม่จ่ายค่าซ่อมเจ้าของรถก็จะเดือด ร้อน ผมจึงประชาสัมพันธ์ไว้ก่อนว่าอาจจะเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ขอให้ได้ไตร่ตรองได้พิจารณาให้ดี ขอบอกว่ารถอีแต๋นเข้ามาไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว อีแต๋นวิ่งบนถนนหลวงไม่ได้ เที่ยวนี้ออกจากจังหวัด ก็ไม่ให้ออกแล้ว เพราะยอมให้ทำผิดกฎหมายไม่ได้" นายสุเทพกล่าว
ตรวจค้นรถ-เช็คบัตร ปชช.ทั่วปท.
นายสุเทพกล่าวว่า ต้องขออภัยประชาชนด้วย เพราะในระยะนี้ทุกจังหวัดทุกพื้นที่จะขอความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทยดูแล ตรวจค้น ยานพาหนะที่สัญจรไปมา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำอาวุธเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะต้องตรวจค้นดูว่ารถที่เข้ามามีทะเบียนรถถูกต้องหรือไม่ ไม่ใช่ไปขโมยรถคนอื่นเข้ามา เพราะคิดว่าหากเกิดความเสียหายขึ้นมาจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ การตรวจบัตรประชาชน เพราะไม่ต้องการคนที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นคนต่างด้าว หากพูดจากันไม่รู้เรื่องจะทำให้เกิดปัญหาเยอะ รวมถึงการตรวจค้นอาวุธ ผู้ชุมนุมต้องไม่พกอาวุธเด็ดขาด กำหนดใช้มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะพร้อมในอีก 1-2 วัน
"บรรดาแกนนำทั้งหลายถ้าไปปลุกระดมชักชวนธรรมดา ตามวิถีทางประชาธิปไตยก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าผมเห็นว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มาแสดงออกเพื่อต่อสู้ให้มีระบบประชาธิปไตย แต่ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของคนบางคนบางกลุ่มแล้วใช้วิธีการที่ประเทศเสียหาย ผมจะประมวลพยานแล้วขอหมายศาลดำเนินคดี เมื่อศาลออกหมายแล้วปรากฏว่าคนเหล่านั้นเคยได้รับการประกันตัวมาแล้ว เราก็จะถอนประกันตัว" นายสุเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ระบุว่า ในการชุมนุมจะมีพระสงฆ์จำนวน 2 หมื่นรูปเข้าร่วมการชุมนุม จะเป็นการเหมาะสมหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า "กรณีที่จะเข้ามาร่วมชุมนุม ผมขอกราบขอความกรุณาพระคุณเจ้าว่าเรื่องการชุมนุมทางการเมืองคงไม่ใช่กิจของ สงฆ์ ไม่ใช่เรื่องของพระคุณเจ้า ถ้าใครไปนิมนต์มาด้วยเหตุผลอะไร ขอความกรุณาพระคุณเจ้าอย่าได้มาร่วมในกระบวนการนี้เลย" นายสุเทพกล่าว
มท.1ขานรับสกัด-อี แต๋นไม่งามกรุง
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เห็นด้วยที่นายสุเทพสั่งให้มีการสกัดกันรถอีแต๋นที่กลุ่มเสื้อแดงจะนำมา ซึ่งจะต้องมีการกำชับให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดดูแล และในเมื่อเป็นคำสั่งห้าม ผู้ว่าฯก็จะต้องทำให้น้อยลง โดยให้ผู้ว่าฯใช้มาตรการขอร้อง ทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ชุมนุม หากไม่ได้ผลก็ให้ใช้ข้อบังคับตามกฎหมายดำเนินการ "คงจะต้องดูที่กฎหมายว่ารถอีแต๋นสามารถนำมาวิ่งบนทางหลวงได้หรือไม่ เพราะรถอีแต๋นไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำมาวิ่งในเมือง เพราะเป็นรถที่มีป้ายทะเบียนและมีไว้ใช้ตามต่างจังหวัด ซึ่งหากเดินทางเข้ามาใน กทม.และจะทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดอย่างหนัก อีกทั้งยังสร้างความไม่สง่างามให้กับเมืองหลวง" นายชวรัตน์กล่าว
ตร.มีแผนแก้ลำใช้รถ ก๊าซ-โล่มนุษย์
พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงมาตรการรับมือการระดมรถของกลุ่มเสื้อแดง 35,000 คันเข้ากรุงว่า ตำรวจได้เตรียมรถยกเพื่อเคลียร์เส้นทาง กรณีมีกีดขวางเส้นทาง ทำให้การจราจรติดขัด ทั้งนี้ เตรียมแผนว่าหากผู้ชุมนุมนำรถบรรทุกก๊าซมาปิดกั้นเส้นทาง เหมือนตอนเดือนเมษายน 2552 ตำรวจอาจต้องใช้รถยกออกไปให้ได้เพราะอันตราย กรณีปิดถนนโดยใช้มวลชนเป็นโล่มนุษย์ นั้นก็มีแผนกรกกฎ 52 ตามหลักสากลในการรับมือตามขั้นตอนอยู่แล้ว
เมื่อถามถึงกรณีที่นายสุเทพกล่าวในลักษณะไม่พอใจที่ ตำรวจปล่อยเกียร์ว่าง และสั่งการทางวาจาไม่ได้ ต้องใช้เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่า ตำรวจไม่มีเกียร์ว่างและจะทำตามแผนที่ กอ.รมน.กำหนดไว้
โคราชวางกำลัง กว่า2พันรับมือ"แดง"
สำหรับการชุมนุมอุ่นเครื่องที่ จ.นครราชสีมา ของมวลชนเสื้อแดงนั้น แนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง 19 จังหวัดภาคอีสาน ทยอยไปรวมตัวกันที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมือง ก่อนการจัดปราศรัยโดยแกนนำเสื้อแดงในช่วงเย็น ท่ามกลางการวางกำลังอารักขาและรักษาความปลอดภัยโดยรอบบริเวณกว่า 2 พันนาย รวมถึงบ้านบุคคลสำคัญเช่นบ้านแม่ทัพ (บ้านไร้กังวล) บ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และศาลากลางจังหวัด ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พท. นายสุพร อัตถาวงศ์ นายขวัญชัย ไพรพนา จัดประชุมแกนนำอีสาน 19 จังหวัดภาคอีสานที่โรงแรมศรีพัฒนา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ทั้งหมดได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะรวมตัวกันที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีในวัน ที่ 12 มีนาคม ก่อนเคลื่อนทัพรถอีแต๋น 6 ล้อ กว่า 1 หมื่นคันเข้า กทม.ร่วมชุมนุมใหญ่วันที่ 14 มีนาคม
นายแงะ จินันทุยา ผู้ประสานงานเสื้อแดงจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า จะทยอยเดินทางเข้า กทม.ในวันที่ 12 มีนาคม ด้วยรถยนต์ปิคอัพประมาณ 400 คัน และรถยนต์ส่วนบุคคล 100 คัน
นายกฯ รับได้กลิ่นก่อวินาศกรรม ปชป.ปูดอีก"วอยซ์ ออฟ ทักษิณ" แพร่บทความ"บ้านจะดีต้องเริ่มที่พ่อ"
นายกฯมอบ"สุเทพ"คุมระหว่างเยือนออสซี่ เบรกอีแต๋นเคลื่อนมท.1ขานรับสกัดไม่งามกรุง "อนุพงษ์" โยน "เทพเทือก" ตัดสินใช้ พ.ร.บ.มั่นคง ยอมรับห่วงแดงชุมนุมแต่เชื่อไม่รุนแรง ไม่ตกใจชื่อติดโผบัญชีดำเสื้อแดง "เสธ.ทบ." รับคตม.ห่วงก่อวินาศกรรม
ปชป.ปูด"วอยซ์ ออฟ ทักษิณ" แพร่บทความไม่เหมาะสม
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเมื่อวันที่ 6 มีนาคมว่า พรรคประชาธิปัตย์ประเมินความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงว่าจะเคลื่อนไหวใน 3 รูปแบบ เพื่อสร้างความขัดแย้งนำสู่ความรุนแรงคือ 1. รูปแบบการสร้างข้อมูลเท็จ โดยแยกได้จำนวน 7 เรื่องคือ 1.1 สร้างเรื่องเท็จว่ารัฐบาลขึ้นบัญชีดำผู้เกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 212 คน 1.2 ขยายผลคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรีให้คนคิดว่ารัฐบาลเตรียมปราบการชุมนุมในวัน ที่ 12-14 1.3 เตรียมสร้างสถานการณ์ปลอมแปลงบุคคลเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร เพื่อกระทำการเกินเหตุต่อผู้ชุมนุม ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ชุมนุม โดยหากใครเห็นผู้ใส่ชุดลายพรางแล้วมีพฤติกรรมน่าสงสัย ขอให้แจ้งทางรัฐบาลโดยด่วน 1.4 สร้างข่าวความขัดแย้งระหว่างรัฐและศาสนจักร หวังให้ลูกศิษย์วัดออกมาร่วมเคลื่อนไหว 1.5 ปล่อยข่าวว่าการทำงานของศาลมีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง 1.6 สร้างข่าวผู้ชุมนุมหลายร้อยคนหายในเหตุการณ์เดือนเม.ย. เพื่อให้คนออกมาแก้แค้นรัฐบาล และ 1.7 ปล่อยข่าวปฏิวัติ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า 2. รูปแบบการยกระดับความรุนแรง โดยดำเนินการ 3 ระดับ คือ 2.1 แกนนำนปช. ใช้ยุทธศาสตร์ป่าล้างเมือง เพื่อให้การจราจรใน กทม.เป็นอัมพาต 2.2 กลุ่มแดงสยาม จะรับช่วงมาดำเนินการนำสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในลักษณะรัฐใหม่ ไม่มีการปกครองที่มีสถาบันกษัตริย์เป็นองค์ประมุข และ 2.3 เครือข่ายแนวร่วมด้านความมั่นคงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แกนนำด้านความมั่นคงพร้อมใช้กำลัง มีการฝึกจรยุทธ์ผ่านโรงเรียนกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อก่อวินาศกรรม ซึ่งรัฐบาลได้ติดตามดำเนินการอย่างต่อเนื่องแล้ว ส่วนรูปแบบที่ 3 ถือว่าน่าวิตกที่สุดคือ การพาดพิงสถาบันสูงสุดของชาติ โดยคนไทยต้องร่วมกันปกป้อง โดยล่าสุด สื่อสิ่งพิมพ์ "วอยซ์ ออฟ ทักษิณ" ได้ตีพิมพ์บทความบ้านจะดีต้องเริ่มที่พ่อ ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสม
นายกฯรับมี รายงานก่อวินาศกรรมปัดสั่งโรยเรือใบสกัดเสื้อแดง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ถึงกรณีที่มีรายงานข่าวการก่อวินาศกรรมระหว่างที่กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุท 14 มีนาคม ยอมรับว่ามีการข่าวรายงานว่าจะมีการก่อวินาศกรรม พร้อมโต้พรรคเพื่อไทยว่ารัฐบาลไม่เคยสั่งให้โรยตะปู เรือใบ เพื่อสกัดรถเข้ากทม.
"อนุพงษ์" โยน "สุเทพ" ตัดสินใช้ พ.ร.บ.มั่นคง
ก่อนหน้านี้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ถึงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงระหว่างวันที่ 12-14 มี.ค.นี้ว่า ตนไม่ได้สั่งให้กองทัพเตรียมพร้อมอะไร แต่สื่อเขียนไปเอง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เพียงให้ติดตามสถานการณ์ ขณะนี้เรายังอยู่ในภาวะปกติ คือ เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน เมื่อได้รับการร้องขอมาและตั้งจุดตรวจร่วม ยังไม่มีอะไรพิเศษกว่านั้น ทั้งนี้ เชื่อว่าสังคมต้องมีทางออก เราต้องอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสามัคคี เพราะผลกระทบเรื่องนี้มีมาก ทุกฝ่ายห่วงใยตน สื่อก็เป็นห่วง อยากให้เหตุการณ์ปกติ ตนเชื่อว่าคงไม่เกิดเหตุรุนแรงอะไร เพราะคนไทยด้วยกันคงรู้ว่า เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อทุกคน ดังนั้น ทุกคนหวังว่าจะไม่เกิดเหตุรุนแรง
เมื่อถามถึงการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความ มั่นคง (คตม.) ในวันที่ 8 มี.ค.นี้จะมีการประเมินเพื่อประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า หาก คตม.เห็นอย่างไร ผู้ที่ตัดสินใจคือ นายสุเทพ จะประเมินว่าสมควรประกาศหรือไม่ ซึ่งดูจากหลายมิติทั้งผลกระทบต่อประชาชน เศรษฐกิจ และทุกเรื่อง หากตัดสินใจใช้ก็จะให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ดำเนินการตั้งเรื่องขึ้นไปขออนุมัติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่วนจะประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่วิวัฒนาการของสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนไป หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องประกาศ หากจำเป็นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายสุเทพ
เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงขึ้นบัญชีดำพล .อ.อนุพงษ์ นั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่เห็น เมื่อถามว่า ตกใจหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวพร้อมหัวเราะว่า "จะตกใจ ไปทำไม"
"เสธ.ทบ." รับคตม.ห่วงก่อวินาศกรรม
ที่หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) พล.อ. พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก ในฐานะเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงระหว่างวันที่ 12-14 มี.ค.นี้ว่า ในการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.) แสดงความเป็นห่วงเรื่องที่ประชาชนจะนำรถกระบะ รถอีแต๋น มาปิดเส้นทางการจราจร จึงสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ ในฐานะผอ.รมน.จังหวัด ประสานกับประชาชนที่จะเดินทางมาชุมนุม เพื่อขอร้องไม่ให้นำรถมาปิดเส้นทางการจราจร เพราะจะทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อน แต่กองทัพไม่ได้ตั้งจุดสกัดกั้นกรณีที่ผู้ชุมนุมจะเดินทางมาชุมนุม ทั้งนี้ ในวันจันทร์ที่ 8 มี.ค.นี้จะประชุม คตม.อีกครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์และพิจารณาว่าจำเป็นต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือไม่
"ถ้าประเมินว่าสถานการณ์การชุมนุมส่อไปในทางรุนแรง อาจจะต้องประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อดูแลความเรียบร้อย หากที่ประชุมสรุปว่าจำเป็นต้องประกาศก็จะต้องนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติต่อไป ส่วนการเตรียมกำลังเรามีการดำเนินการเตรียมพร้อมแล้ว โดยใช้แผนรักษาความสงบเรียบร้อยตามปกติไม่มีอะไรซับซ้อน ทั้งนี้ คตม. เป็นห่วงเรื่องการก่อวินาศกรรมของกลุ่มที่พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความ ปั่นป่วนในบ้านเมือง จึงสั่งการให้หน่วยต่าง ๆ เตรียมกำลังให้พร้อมในที่ตั้ง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากตำรวจไม่เพียงพอ ส่วนที่หน่วยงานด้านความมั่นคงติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ และบุคคลบางคน เช่น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรวงคุณวุฒิกองทัพบก หรือนายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือเคทองนั้น เป็นเรื่องปกติที่จะต้องติดตามกลุ่มหรือบุคคลที่จะสร้างความเสียหายให้กับ บ้านเมือง" พล.อ.พิรุณ กล่าว
"มาร์ค" ขออย่าให้คนทำวุ่นชี้ทางปท.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ เปิดแผนกลุ่มคนเสื้อแดงจะให้ ส.ส.ขนคนมาร่วมชุมนุมจำนวน 1 ต่อ 10,000 คน โดยใช้รถปิคอัพ 100 คัน ว่า ตอนนี้มีการประเมินตลอด รัฐบาลจะพยายามบริหารให้เกิดความเรียบร้อย เพราะการชุมนุมโดยสงบถือเป็นสิทธิ แต่การนำรถยนต์และยานพาหนะต่างๆ เข้ามา ต้องให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ที่นายสุเทพพูดไปในเรื่องการบริหารจัดการ เพราะถ้าคนนำยานพาหนะเข้ามามาก จะทำให้เกิดความไม่สะดวกกับทุกฝ่าย ดังนั้น รัฐบาลจะหาทางสื่อสารให้ทราบว่าจะบริหารอย่างไรต่อไป
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หากประกาศทำให้สิ่งที่ผิดกฎหมายคงทำไม่ได้ เชื่อว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่มีวัตถุประสงค์ทำสิ่งผิดกฎหมาย ขออย่าให้ตกเป็นเหยื่อของคนที่ต้องการทำผิดกฎหมาย อย่าให้คนที่อยากให้เกิดความวุ่นวายโกลาหลมาเป็นผู้กำหนดทิศทางการชุมนุม หรือบ้านเมือง และหากประกาศทำให้สิ่งที่ผิดกฎหมายคงทำไม่ได้ ส่วนเรื่องที่อาจมีพระสงฆ์ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงด้วยนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งไม่ควรย้ำ ก่อนหน้านี้ก็พยายามบอกว่ามีแบล๊คลิสต์ ซึ่งมีชื่อพระสงฆ์รวมอยู่ด้วย ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มี ความจริงทุกฝ่ายมีสิทธิหน้าที่ชัดเจนตามกฎหมาย จึงขอให้ยึดตามนั้น
อย่าเป็นเครื่องมือ คนนิยม"รุนแรง"
ผู้สื่อข่าวถาม มีวิธีปลุกพลังเงียบมาสู้อย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คนส่วนใหญ่ของสังคมต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ จึงต้องทำความเข้าใจกับทุกคนว่าบ้านเมืองกำลังเดินหน้า อย่าให้เหตุการณ์อะไรมาทำให้สะดุด ควรให้ความร่วมมือกับรัฐบาลสอดส่องดูแล เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้เกิดความรุนแรง แต่ขออย่าไปทำอะไรให้เกิดการปะทะหรือขัดแย้งให้หมู่ประชาชนด้วยกันเอง เพราะไม่มีความจำเป็น ทุกคนต่างเป็นคนไทยด้วยกัน อารมณ์หงุดหงิดอาจมีได้ แต่อยากให้ช่วยกันพูดให้สถานการณ์เย็นลง อยากให้ช่วยเป็นหูเป็นตา อะไรผิดปกติต้องแจ้งหน่วยงานรัฐ ทั้งนี้ ยังไม่มีความคิดที่จะประกาศให้วันชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง 12-14 มีนาคม เป็นวันหยุดราชการ
เมื่อถามว่า กลุ่มแดงสยามประกาศจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับที่ประเทศเนปาลถือ ว่าส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขอให้สังคมพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ยืนยันรัฐบาลทราบความเคลื่อนไหวอยู่และจะไม่ให้ประสบความสำเร็จ ต้องขอความร่วมมือจากผู้ชุมนุมที่มาเรียกร้องความยุติธรรม หรือประชาธิปไตยต่างๆ เพราะถ้าเกิดความรุนแรงขึ้น ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับผู้ชุมนุมเลย จึงขอว่าอย่าไปเป็นเครื่องมือของคนที่นิยมความรุนแรง และหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ให้"สุเทพ"คุม ระหว่างเยือนออสซี่
นายกฯกล่าวถึง การดูแลคนจำนวนมากไม่ให้กลุ่มมือที่สามเข้าป่วนว่า จะบริหารให้มีการจัดระบบการเคลื่อนไหวต่างๆ ดังนั้น เวลานี้ถ้าเจ้าหน้าที่เช่นตำรวจทหารเข้ามาลาดตระเวนหรือสอดส่องดูแล ขอให้เข้าใจว่ามาช่วยดูแลผู้ชุมนุมเองด้วย อย่าไปหลงคิดว่าเจ้าหน้าที่จะเข้ามาปราบปรามประชาชน เพราะรัฐบาลนี้ไม่มีนโยบายปราบปรามประชาชน มีแต่ต้องรักษากฎหมาย ใครทำผิดกฎหมายต้องถูกดำเนินการ เมื่อถามว่า ระหว่างเดินทางเยือนประเทศออสเตรเลีย 13-17 มีนาคม จะให้ใครรักษาการนายกฯแทน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นไปตามระบบราชการคือนายสุเทพจะเป็นผู้รักษาการ จะไม่มีช่วงเวลาสุญญากาศแน่ ยืนยันว่ากำหนดการเยือนประเทศออสเตรเลียกำหนดไว้ล่วงหน้า เพราะว่าจะมีอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงไม่อยากเลื่อน ส่วนกรณีที่นายสุเทพจะลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 13-14 มีนาคมด้วย จะสอบถามเพื่อขอให้ปรับ คิดว่าคงไม่ยาก
ส่วนเหตุการณ์จะรุนแรงถึงขั้น ต้องประกาศใช้กฎหมายพิเศษหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่จำเป็น แต่คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.) ได้ประเมินตลอด ถ้าจำเป็นก็ประกาศ แต่การใช้ต้องเพื่อความสะดวกในการบริหาร ไม่ได้หวังไปปราบปรามใคร โดยจะประกาศไล่ไปตามลำดับ เริ่มจาก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ซึ่ง 4-5 ครั้งที่เคยใช้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
"สุเทพ"กร้าวสั่งห้าม"อี แต๋น"เคลื่อน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ฟังข่าวว่าในบรรดาที่มาชุมนุมตามการชักชวนของบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะอาศัยรถปิคอัพเข้ามาในกรุงเทพฯจำนวนมาก เข้าใจว่าคนที่วางแผนการชุมนุมตั้งใจที่จะใช้รถปิคอัพจำนวนมากๆ อาจจะมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนคนกรุงเทพฯ ในเรื่องการปิดกั้นการจราจร จึงอยากขอส่งความไปถึงประชาชนที่จะเข้ามาร่วมชุมนุมว่า รัฐบาลไม่ได้ขัดขวางการแสดงออกถึงสิทธิเสรีภาพ แต่อยากจะขอความกรุณาว่า การจราจรในกรุงเทพฯตามปกติก็หนักอยู่แล้ว หากผู้ชุมนุมนำรถยนต์หรือรถปิคอัพของตัวเองมาจำนวนมาก จะมีผลกระทบต่อระบบการจราจรของคนกรุงเทพฯ คนกรุงเทพฯก็จะเดือดร้อน ฉะนั้นผู้ชุมนุมต้องคำนึงถึงความเดือดร้อนของคนกรุงเทพฯด้วย
นายสุเทพย้ำว่า สั่งการให้ทางศาลาว่าการกรุงเทพฯและกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้จัดหาสถานที่สำหรับจอดรถให้บริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ หากผู้ชุมนุมนำรถส่วนบุคคลเข้ามาจำนวนมาก และจะประสานกับกระทรวงคมนาคมให้จัดหารถบริการให้กับผู้ชุมนุมได้จอดรถไว้ใน สถานที่ที่กำหนดเข้ามาชุมนุมในบริเวณที่ชุมนุมได้ เช่น หากมาจากภาคเหนือและอีสานจะให้จอดรถไว้ที่ดอนเมือง ซึ่งจะประกาศให้ผู้ชุมนุมรับทราบอีกครั้งหนึ่ง
"หากยังมีการนำรถเข้ามาจอดขวางการจราจรหรือตามท้อง ถนนต่างๆ ผมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายระดมจัดเตรียมรถยกมา เพื่อยกรถที่กีดขวางออกจากผิวจราจร ซึ่งกรณีนี้ผมได้ตรวจสอบแล้วว่า หากเกิดความเสียหายต่อรถยนต์ ปัญหาก็คือบริษัทประกันภัยทั้งหลายอาจจะไม่จ่ายค่าซ่อมเจ้าของรถก็จะเดือด ร้อน ผมจึงประชาสัมพันธ์ไว้ก่อนว่าอาจจะเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ขอให้ได้ไตร่ตรองได้พิจารณาให้ดี ขอบอกว่ารถอีแต๋นเข้ามาไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว อีแต๋นวิ่งบนถนนหลวงไม่ได้ เที่ยวนี้ออกจากจังหวัด ก็ไม่ให้ออกแล้ว เพราะยอมให้ทำผิดกฎหมายไม่ได้" นายสุเทพกล่าว
ตรวจค้นรถ-เช็คบัตร ปชช.ทั่วปท.
นายสุเทพกล่าวว่า ต้องขออภัยประชาชนด้วย เพราะในระยะนี้ทุกจังหวัดทุกพื้นที่จะขอความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทยดูแล ตรวจค้น ยานพาหนะที่สัญจรไปมา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำอาวุธเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะต้องตรวจค้นดูว่ารถที่เข้ามามีทะเบียนรถถูกต้องหรือไม่ ไม่ใช่ไปขโมยรถคนอื่นเข้ามา เพราะคิดว่าหากเกิดความเสียหายขึ้นมาจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ การตรวจบัตรประชาชน เพราะไม่ต้องการคนที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นคนต่างด้าว หากพูดจากันไม่รู้เรื่องจะทำให้เกิดปัญหาเยอะ รวมถึงการตรวจค้นอาวุธ ผู้ชุมนุมต้องไม่พกอาวุธเด็ดขาด กำหนดใช้มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะพร้อมในอีก 1-2 วัน
"บรรดาแกนนำทั้งหลายถ้าไปปลุกระดมชักชวนธรรมดา ตามวิถีทางประชาธิปไตยก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าผมเห็นว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มาแสดงออกเพื่อต่อสู้ให้มีระบบประชาธิปไตย แต่ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของคนบางคนบางกลุ่มแล้วใช้วิธีการที่ประเทศเสียหาย ผมจะประมวลพยานแล้วขอหมายศาลดำเนินคดี เมื่อศาลออกหมายแล้วปรากฏว่าคนเหล่านั้นเคยได้รับการประกันตัวมาแล้ว เราก็จะถอนประกันตัว" นายสุเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ระบุว่า ในการชุมนุมจะมีพระสงฆ์จำนวน 2 หมื่นรูปเข้าร่วมการชุมนุม จะเป็นการเหมาะสมหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า "กรณีที่จะเข้ามาร่วมชุมนุม ผมขอกราบขอความกรุณาพระคุณเจ้าว่าเรื่องการชุมนุมทางการเมืองคงไม่ใช่กิจของ สงฆ์ ไม่ใช่เรื่องของพระคุณเจ้า ถ้าใครไปนิมนต์มาด้วยเหตุผลอะไร ขอความกรุณาพระคุณเจ้าอย่าได้มาร่วมในกระบวนการนี้เลย" นายสุเทพกล่าว
มท.1ขานรับสกัด-อี แต๋นไม่งามกรุง
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เห็นด้วยที่นายสุเทพสั่งให้มีการสกัดกันรถอีแต๋นที่กลุ่มเสื้อแดงจะนำมา ซึ่งจะต้องมีการกำชับให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดดูแล และในเมื่อเป็นคำสั่งห้าม ผู้ว่าฯก็จะต้องทำให้น้อยลง โดยให้ผู้ว่าฯใช้มาตรการขอร้อง ทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ชุมนุม หากไม่ได้ผลก็ให้ใช้ข้อบังคับตามกฎหมายดำเนินการ "คงจะต้องดูที่กฎหมายว่ารถอีแต๋นสามารถนำมาวิ่งบนทางหลวงได้หรือไม่ เพราะรถอีแต๋นไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำมาวิ่งในเมือง เพราะเป็นรถที่มีป้ายทะเบียนและมีไว้ใช้ตามต่างจังหวัด ซึ่งหากเดินทางเข้ามาใน กทม.และจะทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดอย่างหนัก อีกทั้งยังสร้างความไม่สง่างามให้กับเมืองหลวง" นายชวรัตน์กล่าว
ตร.มีแผนแก้ลำใช้รถ ก๊าซ-โล่มนุษย์
พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงมาตรการรับมือการระดมรถของกลุ่มเสื้อแดง 35,000 คันเข้ากรุงว่า ตำรวจได้เตรียมรถยกเพื่อเคลียร์เส้นทาง กรณีมีกีดขวางเส้นทาง ทำให้การจราจรติดขัด ทั้งนี้ เตรียมแผนว่าหากผู้ชุมนุมนำรถบรรทุกก๊าซมาปิดกั้นเส้นทาง เหมือนตอนเดือนเมษายน 2552 ตำรวจอาจต้องใช้รถยกออกไปให้ได้เพราะอันตราย กรณีปิดถนนโดยใช้มวลชนเป็นโล่มนุษย์ นั้นก็มีแผนกรกกฎ 52 ตามหลักสากลในการรับมือตามขั้นตอนอยู่แล้ว
เมื่อถามถึงกรณีที่นายสุเทพกล่าวในลักษณะไม่พอใจที่ ตำรวจปล่อยเกียร์ว่าง และสั่งการทางวาจาไม่ได้ ต้องใช้เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่า ตำรวจไม่มีเกียร์ว่างและจะทำตามแผนที่ กอ.รมน.กำหนดไว้
โคราชวางกำลัง กว่า2พันรับมือ"แดง"
สำหรับการชุมนุมอุ่นเครื่องที่ จ.นครราชสีมา ของมวลชนเสื้อแดงนั้น แนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง 19 จังหวัดภาคอีสาน ทยอยไปรวมตัวกันที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมือง ก่อนการจัดปราศรัยโดยแกนนำเสื้อแดงในช่วงเย็น ท่ามกลางการวางกำลังอารักขาและรักษาความปลอดภัยโดยรอบบริเวณกว่า 2 พันนาย รวมถึงบ้านบุคคลสำคัญเช่นบ้านแม่ทัพ (บ้านไร้กังวล) บ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และศาลากลางจังหวัด ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พท. นายสุพร อัตถาวงศ์ นายขวัญชัย ไพรพนา จัดประชุมแกนนำอีสาน 19 จังหวัดภาคอีสานที่โรงแรมศรีพัฒนา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ทั้งหมดได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะรวมตัวกันที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีในวัน ที่ 12 มีนาคม ก่อนเคลื่อนทัพรถอีแต๋น 6 ล้อ กว่า 1 หมื่นคันเข้า กทม.ร่วมชุมนุมใหญ่วันที่ 14 มีนาคม
นายแงะ จินันทุยา ผู้ประสานงานเสื้อแดงจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า จะทยอยเดินทางเข้า กทม.ในวันที่ 12 มีนาคม ด้วยรถยนต์ปิคอัพประมาณ 400 คัน และรถยนต์ส่วนบุคคล 100 คัน
Re: ข่าว 5 มีคน 53
วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:10:33 น. มติชนออนไลน์
รอง ปธ.วิปรบ.ด่าส.ส."สันหลังยาว"ทำประชุมล่ม แนะรมต.เอาแบบนายกฯ อยู่โยงในสภา "วิทยา"เสนอติดชื่อประจาน
ล้อมคอกสภาล่มซ้ำซาก วิปรัฐบาลคิดติดชื่อประจานสถิติส.ส.โดดประชุม วิปรบ.หาวิธีสกัดส.ส.ขาดช่วงซักฟอก-พิจารณางบ′54 "มาร์ค"ปัดพรรคร่วมเล่นเกมดัดหลังปชป. วอนอย่าโยงยุบสภา พท.อ้างวอล์คเอ๊าท์สภา รักษาสิทธิเสียงข้างน้อยเห็นต้านปฎิวัติ
รอง ปธ.วิปรบ.ด่าส.ส."สันหลังยาว"ทำประชุมล่ม
ที่โรงแรมบางกอก รีสอร์ท นพ.อลงกต มณีกาศ โฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) ในฐานะรองประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) กล่าวเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ถึงปัญหาองค์ประชุมสภาล่ม 4 ครั้งในรอบ 2 เดือนว่า ขอยืนยันว่าปัญหาองค์ประชุมสภาล่ม ไม่ได้เป็นเกมการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาล แต่เป็นความเคยชินของ ส.ส.สันหลังยาวบางส่วน ที่ชอบกลับบ้านก่อนการประชุมสภาเลิก พวกนี้เป็นพวกขาประจำ ทั้งที่วิปรัฐบาลเคยตกลงกันแล้วว่าทุกวันพุธและวันพฤหัสบดีห้ามส.ส. รับงานในพื้นที่ ขอให้มอบหมายให้ผู้ช่วย ส.ส.ไปทำหน้าที่แทน แต่ ส.ส.บางส่วนก็ยังไม่ปฏิบัติตาม โดยอ้างว่ามีข่าวว่าใกล้ยุบสภา จึงจำเป็นต้องลงพื้นที่ ประกอบกับเที่ยวบินกลับต่างจังหวัดได้ปรับตารางการบินใหม่ จากเดิมออกเดินทางจากกรุงเทพฯ 18.00 น. เป็นช่วง 15.00-16.00 น. ทำให้องค์ประชุมขาดหายไป
"นอกจากนี้ อยากเรียกร้องบรรดารัฐมนตรีให้มาอยู่โยงที่สภาด้วย เพราะปัญหาองค์ประชุมล่มส่วนหนึ่งมาจาก ส.ส.สันหลังยาว แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นปัญหาจากการที่รัฐมนตรีมาเซ็นชื่อแล้วกลับไป ดังนั้น ขอให้เอาแบบอย่างนายกฯ ด้วย ถ้าจะนัดประชุมอะไรก็ขอให้มานัดที่รัฐสภา" รองประธานวิปรัฐบาลกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เห็นด้วยกับมาตรการแปะชื่อ ส.ส.โดดประชุม เพื่อประจานต่อสาธารณะตามที่นายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาลจากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือไม่ นพ.อลงกต กล่าวว่า เคยทำมาหลายครั้งแล้วทั้งลงข่าวทางสื่อ และการแจ้งพรรคต้นสังกัด แต่ไม่มีผลอะไร เพราะ ส.ส. มักอ้างเอกสิทธิ์ในการร่วมประชุม
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ พผ. จะไม่ส่ง ส.ส.โดดประชุมลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งหน้า รองประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า แนวทางการปฏิบัติของแต่ละพรรคไม่เหมือนกัน ซึ่งต้องยอมรับว่า พผ.เป็นพรรคขนาดกลางจึงจำเป็นต้องง้อ ส.ส. ซึ่งในส่วนของ ส.ส.พผ. 32 คน มีพวกขากประจำมักโดดประชุมสภาอยู่ 5-6 คน ซึ่งตนได้แจ้งชื่อให้ผู้ใหญ่รับทราบแล้ว หลังจากนี้ก็คงจะถูกเรียกไปตักเตือนเป็นการส่วนตัวต่อไป
นพ. อลงกตกล่าว ด้วยว่า คาดว่าจะมีการปรับ ครม.ในส่วนของ พผ.ช่วงเดือนเมษายน ภายหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงกี่ตำแหน่ง ยังตอบไม่ได้
วิปรบ.คิดติดชื่อประจานสถิติ
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม หลังเกิดเหตุการณ์ประชุมสภาผู้แทนราษฎรล่มซ้ำซากเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 2 เดือน นับจากเปิดสมัยประชุม พรรคประชาธิปัตย์ได้เรียกประชุม ส.ส.เพื่อหามาตรการแก้ปัญหาสภาล่ม และตรวจเช็ครายชื่อ ส.ส.ที่ขาดประชุม บรรยากาศเคร่งเครียด จากนั้น นายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาล แถลงว่า ยืนยันว่าก่อนประชุม วิปรัฐบาลได้ตรวจสอบองค์ประชุม พบว่ามี 257 คน ซึ่งถือว่าเกินกึ่งหนึ่งขององค์ประชุม เหตุที่ประชุมล่มเกิดจากความผิดพลาดจากนับองค์ประชุมของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากสภาไม่ได้มีการใช้วิธีนี้มานานแล้ว จะสังเกตเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่จะมีการเดินกระจัดกระจาย ไม่ได้มีการประจำตามแถว ส.ส.นั่งอยู่ และระหว่างรวมคะแนนใช้เวลานานกว่า 10 นาที ก็มี ส.ส.เดินเข้าออก จึงเป็นเหตุให้มีการนับคลาดเคลื่อน
นายวิทยากล่าวว่า ได้มีการหารือกับนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯและรองประธานสภาฯ ทั้ง 2คน เพื่อหามาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเบื้องต้นกำหนดว่า การเสนอนับองค์ประชุมครั้งแรก จะใช้วิธการเสียบบัตร หากคลาดเคลื่อนไม่เกิน 25 คน ก็จะให้เจ้าหน้าที่เดินนับ ส.ส.รายคน แต่หากยังมีคะแนนห่างกันไม่มากอีกจะเป็นอำนาจของประธานในที่ประชุมที่จะใช้ ข้อ 25 ของข้อบังคับการประชุมสภา โดยการนับองค์ประชุมด้วยการขานชื่อ เป็นครั้งที่ 3 นอกจากนี้สมัยปิดการประชุมสภา จะมีการปิดประกาศว่ามี ส.ส.คนไหนขาดการประชุม ลากิจ ลาป่วย และขาดการลงมติกี่ครั้ง เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนพิจารณา
ในส่วน ส.ส.ประชาธิปัตย์นั้น ในการประชุม ส.ส.ในวันที่ 9 มีนาคม จะหามาตรการแก้ไขปัญหา หากมี ส.ส.คนใดขาดประชุม จะต้องชี้แจงเหตุผล ส่วนตัวคิดว่ามาตรการเด็ดขาดที่ควรนับมาใช้คือ ไม่ควรให้ ส.ส.คนนั้นเป็น ส.ส.อีก ส่วนการประสานงานกับผู้ใหญ่ในพรรคร่วมรัฐบาลนั้น จะเป็นหน้าที่ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ประสานงานต่อไป ส่วนจะมีมาตรการอะไรพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ระหว่างการอภิปราย ไม่ไว้วางใจ และพิจารณางบประมาณ 2554 หรือไม่นั้น นายวิทยากล่าวว่า ต้องมีแน่นอน เพราะสองเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ และ ส.ส.จะขาดอย่างไม่มีเหตุผลไม่ได้
นายกฯปัดพรรคร่วมเล่นเกม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วิปรัฐบาลได้ตรวจสอบซึ่งคิดว่า ส.ส.ครบองค์ประชุม "ผมไม่สามารถแก้ตัว แทนคนที่ขาดประชุมได้ เพราะได้กำชับกันหลายรอบ บางครั้ง ส.ส.ชะล่าใจว่าการประชุมสภาในวันพฤหัสบดีไม่ได้เป็นประเด็นด้านกฎหมาย จึงคิดว่าเมื่อวาระกระทู้ถามจบแล้วจะเป็นเรื่องรายงาน เรื่องรับทราบ จึงไม่อยู่ในที่ประชุม รีบกลับพื้นที่กัน ซึ่งได้ย้ำไปแล้วว่าไม่ใช่มันเป็นหน้าที่ที่ต้องอยู่" นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการเล่นเกมกันเองในพรรคร่วมรัฐบาล เท่าที่เคยฟังสถิติมาตัวเลขจะกระจายไปทุกพรรค
เมื่อถามว่า จะดีหรือไม่ที่รับเงินจากภาษีประชาชนแล้วทำงานเต็มที่แค่วันพุธวันเดียว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่สามารถแก้ตัวให้ใครได้ และได้กำชับไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามการที่สภามีปัญหาจะ มีการนำไปเป็นเงื่อนไขให้ยุบสภา เพราะไม่สามารถทำงานได้หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า จะไปโยงอย่างนั้นไม่ได้ เรื่องการนับองค์ประชุม เห็นชอบไปเขียนกันว่าสมัยประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านจะมีการนับแบบเดียวกัน ขอยืนยันว่าไม่ใช่ จะมีการนับก็ต่อเมื่อมีประเด็นที่เป็นปัญหา อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ก็เป็นสิทธิของฝ่ายค้าน เพียงแต่เขาทำถี่มาก เขาทำทุกเรื่อง แม้กระทั่งการลงคะแนนว่าจะเปิดหรือปิดการอภิปรายเขาก็นับ ก็เป็นสิทธิที่ทำได้ เพียงแต่ว่า ส.ส.รัฐบาลต้องทราบว่าเงื่อนไขในวันนี้มันเป็นอย่างนี้เสียแล้ว ฉะนั้นยิ่งต้องมีความรับผิดชอบที่จะต้องอยู่
วิป รบ.ยันเช็คเสียงองค์ประชุมครบ มั่นใจไม่ถูกพรรคร่วมหักหลัง
ภายหลังเกิดเหตุการณ์สภาฯล่ม เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจำนวนมากยังคงอยู่ในห้องประชุมสภาฯ โดยได้จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของนายสามารถ แก้วมีชัย ประธานสภาฯ คนที่ 1 ที่สั่งปิดประชุมทันที ที่เจ้าหน้าที่นับได้เพียง 232 คน ทั้งที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลหลายคนต่างยืนยันว่ามีส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่อยู่ในห้องประชุม ครบองค์ประชุมแน่นอน
นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลได้เช็คชื่อแล้วตั้งแต่ก่อนเริ่มประชุม ยืนยันว่ามีส.ส.ฝ่ายรัฐบาลอยู่ในห้องประชุมถึง 257 คน ดังนั้น ก็รู้สึกงงว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม มั่นใจไม่ได้เป็นเพราะเป็นการเล่นเกมหักหลังของพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ
สภาฯล่มอีกแล้วเป็นคำรบ4องค์ประชุมมีแค่232ไม่ถึงครึ่ง
เมื่อเวลา 13.30 น. นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้สั่งปิดประชุมเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบเพื่อพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้ สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อหามาตรการป้องกันการรัฐ ประหาร ของนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย โดยมีองค์ประชุมเพียง 232 คน ไม่ถึงกึ่งหนึ่งจำนวน 238 คนจากส.ส.ทั้งหมด 475 คน ถือว่าเป็นเหตุการณ์สภาล่มครั้งที่ 4
พท.อ้าง วอล์คเอ๊าท์สภา รักษาสิทธิเสียงข้างน้อยเห็นต้านปฎิวัติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย กว่า 10 คน อาทิ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม และนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน ร่วมแถลงข่าวถึงเหตุผลที่ส.ส.พรรคเพื่อไทยประท้วงรัฐบาล ด้วยการวอลค์เอาท์ออกจากห้องประชุม
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การเสนอญัตติของฝ่ายค้านเป็นการเสนอให้ตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อพิจารณา ญัตติดังกล่าว ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็ติดตามดูแลเรื่องนี้มาโดยตลอดการที่ต้องสิ่งที่เกิดขึ้น ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่รัฐบาลไม่ยอมฟังเสียงข้างน้อยโดยการปิดอภิปราย ส่วนสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยไม่ขอร่วมเป็นองค์ประชุมนั้น เนื่องจากทราบว่าเป็นเกมของฝ่ายรัฐบาลที่ให้ ส.ส.เสนอปิดอภิปรายและเมื่อเข้าสู่วาระการพิจารณาว่าสภาผู้แทนราษฎรจะรับ ญัตติดังกล่าวหรือไม่ ส.ส.เสียงส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเสียงของรัฐบาลก็จะโหวตไม่รับร่างดังกล่าว ทำให้ ส.ส.ฝ่ายค้านจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อรักษาสิทธิ โดยการเดินออกจากห้องประชุมเพื่อไม่ให้เสียงข้างมากลากไป และให้มีผลให้ญัตติดังกล่าวยังคาอยู่ในสภาต่อไปซึ่งพรรคเพื่อไทยจะเสนอญัตติ มาเป็นลายลักษณ์อักษรเข้าประกบอีกครั้ง
ด้านนายไพจิต กล่าวว่า รัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ แค่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เคารพเสียงข้างน้อยโดยการเสนอ ให้ปิดอภิปราย อย่างไรก็ตามขอเรียกร้องให้นายกฯหน้าหล่อแต่ใจดำ หากควบคุมเสียงของฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ก็ควรที่จะยุบสภาไปเลย
รอง ปธ.วิปรบ.ด่าส.ส."สันหลังยาว"ทำประชุมล่ม แนะรมต.เอาแบบนายกฯ อยู่โยงในสภา "วิทยา"เสนอติดชื่อประจาน
ล้อมคอกสภาล่มซ้ำซาก วิปรัฐบาลคิดติดชื่อประจานสถิติส.ส.โดดประชุม วิปรบ.หาวิธีสกัดส.ส.ขาดช่วงซักฟอก-พิจารณางบ′54 "มาร์ค"ปัดพรรคร่วมเล่นเกมดัดหลังปชป. วอนอย่าโยงยุบสภา พท.อ้างวอล์คเอ๊าท์สภา รักษาสิทธิเสียงข้างน้อยเห็นต้านปฎิวัติ
รอง ปธ.วิปรบ.ด่าส.ส."สันหลังยาว"ทำประชุมล่ม
ที่โรงแรมบางกอก รีสอร์ท นพ.อลงกต มณีกาศ โฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) ในฐานะรองประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) กล่าวเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ถึงปัญหาองค์ประชุมสภาล่ม 4 ครั้งในรอบ 2 เดือนว่า ขอยืนยันว่าปัญหาองค์ประชุมสภาล่ม ไม่ได้เป็นเกมการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาล แต่เป็นความเคยชินของ ส.ส.สันหลังยาวบางส่วน ที่ชอบกลับบ้านก่อนการประชุมสภาเลิก พวกนี้เป็นพวกขาประจำ ทั้งที่วิปรัฐบาลเคยตกลงกันแล้วว่าทุกวันพุธและวันพฤหัสบดีห้ามส.ส. รับงานในพื้นที่ ขอให้มอบหมายให้ผู้ช่วย ส.ส.ไปทำหน้าที่แทน แต่ ส.ส.บางส่วนก็ยังไม่ปฏิบัติตาม โดยอ้างว่ามีข่าวว่าใกล้ยุบสภา จึงจำเป็นต้องลงพื้นที่ ประกอบกับเที่ยวบินกลับต่างจังหวัดได้ปรับตารางการบินใหม่ จากเดิมออกเดินทางจากกรุงเทพฯ 18.00 น. เป็นช่วง 15.00-16.00 น. ทำให้องค์ประชุมขาดหายไป
"นอกจากนี้ อยากเรียกร้องบรรดารัฐมนตรีให้มาอยู่โยงที่สภาด้วย เพราะปัญหาองค์ประชุมล่มส่วนหนึ่งมาจาก ส.ส.สันหลังยาว แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นปัญหาจากการที่รัฐมนตรีมาเซ็นชื่อแล้วกลับไป ดังนั้น ขอให้เอาแบบอย่างนายกฯ ด้วย ถ้าจะนัดประชุมอะไรก็ขอให้มานัดที่รัฐสภา" รองประธานวิปรัฐบาลกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เห็นด้วยกับมาตรการแปะชื่อ ส.ส.โดดประชุม เพื่อประจานต่อสาธารณะตามที่นายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาลจากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือไม่ นพ.อลงกต กล่าวว่า เคยทำมาหลายครั้งแล้วทั้งลงข่าวทางสื่อ และการแจ้งพรรคต้นสังกัด แต่ไม่มีผลอะไร เพราะ ส.ส. มักอ้างเอกสิทธิ์ในการร่วมประชุม
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ พผ. จะไม่ส่ง ส.ส.โดดประชุมลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งหน้า รองประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า แนวทางการปฏิบัติของแต่ละพรรคไม่เหมือนกัน ซึ่งต้องยอมรับว่า พผ.เป็นพรรคขนาดกลางจึงจำเป็นต้องง้อ ส.ส. ซึ่งในส่วนของ ส.ส.พผ. 32 คน มีพวกขากประจำมักโดดประชุมสภาอยู่ 5-6 คน ซึ่งตนได้แจ้งชื่อให้ผู้ใหญ่รับทราบแล้ว หลังจากนี้ก็คงจะถูกเรียกไปตักเตือนเป็นการส่วนตัวต่อไป
นพ. อลงกตกล่าว ด้วยว่า คาดว่าจะมีการปรับ ครม.ในส่วนของ พผ.ช่วงเดือนเมษายน ภายหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงกี่ตำแหน่ง ยังตอบไม่ได้
วิปรบ.คิดติดชื่อประจานสถิติ
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม หลังเกิดเหตุการณ์ประชุมสภาผู้แทนราษฎรล่มซ้ำซากเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 2 เดือน นับจากเปิดสมัยประชุม พรรคประชาธิปัตย์ได้เรียกประชุม ส.ส.เพื่อหามาตรการแก้ปัญหาสภาล่ม และตรวจเช็ครายชื่อ ส.ส.ที่ขาดประชุม บรรยากาศเคร่งเครียด จากนั้น นายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาล แถลงว่า ยืนยันว่าก่อนประชุม วิปรัฐบาลได้ตรวจสอบองค์ประชุม พบว่ามี 257 คน ซึ่งถือว่าเกินกึ่งหนึ่งขององค์ประชุม เหตุที่ประชุมล่มเกิดจากความผิดพลาดจากนับองค์ประชุมของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากสภาไม่ได้มีการใช้วิธีนี้มานานแล้ว จะสังเกตเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่จะมีการเดินกระจัดกระจาย ไม่ได้มีการประจำตามแถว ส.ส.นั่งอยู่ และระหว่างรวมคะแนนใช้เวลานานกว่า 10 นาที ก็มี ส.ส.เดินเข้าออก จึงเป็นเหตุให้มีการนับคลาดเคลื่อน
นายวิทยากล่าวว่า ได้มีการหารือกับนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯและรองประธานสภาฯ ทั้ง 2คน เพื่อหามาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเบื้องต้นกำหนดว่า การเสนอนับองค์ประชุมครั้งแรก จะใช้วิธการเสียบบัตร หากคลาดเคลื่อนไม่เกิน 25 คน ก็จะให้เจ้าหน้าที่เดินนับ ส.ส.รายคน แต่หากยังมีคะแนนห่างกันไม่มากอีกจะเป็นอำนาจของประธานในที่ประชุมที่จะใช้ ข้อ 25 ของข้อบังคับการประชุมสภา โดยการนับองค์ประชุมด้วยการขานชื่อ เป็นครั้งที่ 3 นอกจากนี้สมัยปิดการประชุมสภา จะมีการปิดประกาศว่ามี ส.ส.คนไหนขาดการประชุม ลากิจ ลาป่วย และขาดการลงมติกี่ครั้ง เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนพิจารณา
ในส่วน ส.ส.ประชาธิปัตย์นั้น ในการประชุม ส.ส.ในวันที่ 9 มีนาคม จะหามาตรการแก้ไขปัญหา หากมี ส.ส.คนใดขาดประชุม จะต้องชี้แจงเหตุผล ส่วนตัวคิดว่ามาตรการเด็ดขาดที่ควรนับมาใช้คือ ไม่ควรให้ ส.ส.คนนั้นเป็น ส.ส.อีก ส่วนการประสานงานกับผู้ใหญ่ในพรรคร่วมรัฐบาลนั้น จะเป็นหน้าที่ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ประสานงานต่อไป ส่วนจะมีมาตรการอะไรพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ระหว่างการอภิปราย ไม่ไว้วางใจ และพิจารณางบประมาณ 2554 หรือไม่นั้น นายวิทยากล่าวว่า ต้องมีแน่นอน เพราะสองเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ และ ส.ส.จะขาดอย่างไม่มีเหตุผลไม่ได้
นายกฯปัดพรรคร่วมเล่นเกม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วิปรัฐบาลได้ตรวจสอบซึ่งคิดว่า ส.ส.ครบองค์ประชุม "ผมไม่สามารถแก้ตัว แทนคนที่ขาดประชุมได้ เพราะได้กำชับกันหลายรอบ บางครั้ง ส.ส.ชะล่าใจว่าการประชุมสภาในวันพฤหัสบดีไม่ได้เป็นประเด็นด้านกฎหมาย จึงคิดว่าเมื่อวาระกระทู้ถามจบแล้วจะเป็นเรื่องรายงาน เรื่องรับทราบ จึงไม่อยู่ในที่ประชุม รีบกลับพื้นที่กัน ซึ่งได้ย้ำไปแล้วว่าไม่ใช่มันเป็นหน้าที่ที่ต้องอยู่" นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการเล่นเกมกันเองในพรรคร่วมรัฐบาล เท่าที่เคยฟังสถิติมาตัวเลขจะกระจายไปทุกพรรค
เมื่อถามว่า จะดีหรือไม่ที่รับเงินจากภาษีประชาชนแล้วทำงานเต็มที่แค่วันพุธวันเดียว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่สามารถแก้ตัวให้ใครได้ และได้กำชับไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามการที่สภามีปัญหาจะ มีการนำไปเป็นเงื่อนไขให้ยุบสภา เพราะไม่สามารถทำงานได้หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า จะไปโยงอย่างนั้นไม่ได้ เรื่องการนับองค์ประชุม เห็นชอบไปเขียนกันว่าสมัยประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านจะมีการนับแบบเดียวกัน ขอยืนยันว่าไม่ใช่ จะมีการนับก็ต่อเมื่อมีประเด็นที่เป็นปัญหา อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ก็เป็นสิทธิของฝ่ายค้าน เพียงแต่เขาทำถี่มาก เขาทำทุกเรื่อง แม้กระทั่งการลงคะแนนว่าจะเปิดหรือปิดการอภิปรายเขาก็นับ ก็เป็นสิทธิที่ทำได้ เพียงแต่ว่า ส.ส.รัฐบาลต้องทราบว่าเงื่อนไขในวันนี้มันเป็นอย่างนี้เสียแล้ว ฉะนั้นยิ่งต้องมีความรับผิดชอบที่จะต้องอยู่
วิป รบ.ยันเช็คเสียงองค์ประชุมครบ มั่นใจไม่ถูกพรรคร่วมหักหลัง
ภายหลังเกิดเหตุการณ์สภาฯล่ม เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจำนวนมากยังคงอยู่ในห้องประชุมสภาฯ โดยได้จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของนายสามารถ แก้วมีชัย ประธานสภาฯ คนที่ 1 ที่สั่งปิดประชุมทันที ที่เจ้าหน้าที่นับได้เพียง 232 คน ทั้งที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลหลายคนต่างยืนยันว่ามีส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่อยู่ในห้องประชุม ครบองค์ประชุมแน่นอน
นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลได้เช็คชื่อแล้วตั้งแต่ก่อนเริ่มประชุม ยืนยันว่ามีส.ส.ฝ่ายรัฐบาลอยู่ในห้องประชุมถึง 257 คน ดังนั้น ก็รู้สึกงงว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม มั่นใจไม่ได้เป็นเพราะเป็นการเล่นเกมหักหลังของพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ
สภาฯล่มอีกแล้วเป็นคำรบ4องค์ประชุมมีแค่232ไม่ถึงครึ่ง
เมื่อเวลา 13.30 น. นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้สั่งปิดประชุมเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบเพื่อพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้ สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อหามาตรการป้องกันการรัฐ ประหาร ของนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย โดยมีองค์ประชุมเพียง 232 คน ไม่ถึงกึ่งหนึ่งจำนวน 238 คนจากส.ส.ทั้งหมด 475 คน ถือว่าเป็นเหตุการณ์สภาล่มครั้งที่ 4
พท.อ้าง วอล์คเอ๊าท์สภา รักษาสิทธิเสียงข้างน้อยเห็นต้านปฎิวัติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย กว่า 10 คน อาทิ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม และนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน ร่วมแถลงข่าวถึงเหตุผลที่ส.ส.พรรคเพื่อไทยประท้วงรัฐบาล ด้วยการวอลค์เอาท์ออกจากห้องประชุม
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การเสนอญัตติของฝ่ายค้านเป็นการเสนอให้ตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อพิจารณา ญัตติดังกล่าว ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็ติดตามดูแลเรื่องนี้มาโดยตลอดการที่ต้องสิ่งที่เกิดขึ้น ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่รัฐบาลไม่ยอมฟังเสียงข้างน้อยโดยการปิดอภิปราย ส่วนสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยไม่ขอร่วมเป็นองค์ประชุมนั้น เนื่องจากทราบว่าเป็นเกมของฝ่ายรัฐบาลที่ให้ ส.ส.เสนอปิดอภิปรายและเมื่อเข้าสู่วาระการพิจารณาว่าสภาผู้แทนราษฎรจะรับ ญัตติดังกล่าวหรือไม่ ส.ส.เสียงส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเสียงของรัฐบาลก็จะโหวตไม่รับร่างดังกล่าว ทำให้ ส.ส.ฝ่ายค้านจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อรักษาสิทธิ โดยการเดินออกจากห้องประชุมเพื่อไม่ให้เสียงข้างมากลากไป และให้มีผลให้ญัตติดังกล่าวยังคาอยู่ในสภาต่อไปซึ่งพรรคเพื่อไทยจะเสนอญัตติ มาเป็นลายลักษณ์อักษรเข้าประกบอีกครั้ง
ด้านนายไพจิต กล่าวว่า รัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ แค่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เคารพเสียงข้างน้อยโดยการเสนอ ให้ปิดอภิปราย อย่างไรก็ตามขอเรียกร้องให้นายกฯหน้าหล่อแต่ใจดำ หากควบคุมเสียงของฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ก็ควรที่จะยุบสภาไปเลย
Re: ข่าว 5 มีคน 53
วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 22:52:27 น. มติชนออนไลน์
สันติบาลรายงานสถานการณ์"แดง"11จว.เคลื่อนก่อน บุกกรุง
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ตำรวจสันติบาลได้จัดทำรายงานสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. แดงทั้งแผ่นดินนำ โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก่อนการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง ในวันที่ 13-14 มีนาคมนี้ โดยมีมวลชนจากทุกภาคเดินทางมาร่วมชุมนุมใหญ่เพื่อกดันให้รัฐบาลยุบสภา ปรากฏความเคลื่อนไหวในพื้นที่ต่างๆ ดังนี้
นปช.สตูล นำโดยนายจิรายุส เนาวเกตุ นายจรัส งะสมัน จะร่วมชุมนุมที่เต๊นท์ขายรถมือสองของนายฬัม คงสุวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.รวมใจไทยชาติพัฒนา พื้นที่หมู่ 12 ต.ฉลุง อ.เมือง ก่อนร่วมหารือกับแกนนำในพื้นที่จังหวัดตรัง เพื่อตรวจสอบยอดสมาชิกที่จะเดินทางไปร่วมชุมนุมที่ กทม. โดยใช้รถยนต์กระบะส่วนตัว
กลุ่ม นปช.อยุธยา 52 มีนายจีรัชญ์พัฒน์ ญาณสมบัติ เป็นแกนนำ และนางสุชาดา พวงโต ติดต่อกับแกนนำในชุมชนต่างๆ ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยาให้ติดต่อสมาชิกคนเสื้อแดงเดินทางไปร่วมชุมนุมตาม ที่แกนนำคนเสื้อแดงกำหนดขึ้นที่ จ.อ่างทอง จัดรถยนต์บัส 1 คัน จอดรอรับสมาชิกคนเสื้อแดงที่อู่ไพศาลเรซซิ่ง ถนนอู่ทอง ต.หอรัตนไชย นำโดยนายประพันธ์ ศรีพานิช ประธานกลุ่ม นปช.อ่างทอง (แดงอ่างทอง)
นปช.ประจวบคีรีขันธ์ มี พ.ต.ท.คมสันต์ วันเปลี่ยนสี ประธานกลุ่มเสื้อแดงหัวหิน 52 และคณะกรรมการ นปช.ประจวบฯ 15 คน หารือแนวทางเคลื่อนไหววันที่ 12 มีนาคม ร่วมกับ นปช.ภาคตะวันตก ที่บ้านของนางธนิกา ธนกรพงศ์สุข แกนนำกลุ่มเสื้อแดงหัวหิน 52 โดยมีนายพรเทพ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ไทยรักไทย ร่วมประชุมด้วย
นปช.ทับสะแก นำโดยนายณัฐพรรษ กระจ่างศิวาลัย จัดประชุมกำหนดแนวทางเคลื่อนไหวในวันที่ 12 มีนาคมร่วมกับ นปช.ภาคตะวันตก ที่ร้านปื๊ดท่อไอเสีย โดยมีกลุ่ม นปช.จากอำเภอต่างๆ ใน จ.ประจวบฯ เข้าร่วมประชุมด้วย
นายกิตติ คำแก่นคูณ แกนนำกลุ่มมวลชนคนรักประชาธิปไตย สาขา อ.น้ำพอง (มปข.น้ำพอง) จ.ขอนแก่น พร้อมด้วยสมาชิก 300 คน จัดประชุมที่สำนักงานกลุ่ม เพื่อรวบรวมสมาชิกชี้แจงการเดินทางและลงทะเบียนรถยนต์ที่จะเดินทางไปร่วม ชุมนุมที่ กทม. พร้อมจัดทำบัตร นปช.แดงทั้งแผ่นดินและจัดตั้งกองผ้าป่าเพื่อสมทบทุนในการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ที่จะเดินทางเข้า กทม.
กลุ่ม นปช.ฉะเชิงเทรา เปิดอบรมโรงเรียน นปช. ที่สมาคมสงเคราะห์การกุศล จ.ฉะเชิงเทรา มีผู้ลงทะเบียนเข้าอบรม 500 คน มีแกนนำ นปช.เข้าร่วมปราศรัย ประกอบด้วยนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง นางไพจิตร อักษรณรงค์ นายวิสา คัญทัพ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และ นพ.เหวง โตจิราการ จากนั้นได้นัดรวมพลสมาชิก นปช.ฉะเชิงเทรา จ.ปราจีนบุรี และ จ.สระแก้ว ให้เดินทางมารวมตัวกันที่หน้าศาลากลาง จ.ฉะเชิงเทรา ในวันที่ 13 มีนาคม
กลุ่มรักประชาธิปไตยริมปิง เรดิโอ โดยมีนายรัญชัย มาละพิงค์ แกนนำได้ตั้งโต๊ะรับบริจาคเงินและสิ่งของ ข้าวสารอาหารแห้งที่สถานีวิทยุชุมชนริมปิง เรดิโอ อ.เมือง จ.ลำพูน เพื่อระดมทุนนำไปใช้ในการเดินทางไปร่วมชุมนุมใหญ่ที่ กทม. วันที่ 14 มีนาคม
กลุ่ม นปช.คลองหาก จ.สระแก้ว นำโดยนายหล่อ และนายวิทย์ ไม่ทราบนามสกุล ได้นัดประชุมสมาชิกที่ทะเลคลองหาด คาดว่าจะมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมประมาณ 100 คน เป็นการประชุมเกี่ยวกับการเดินทางไปร่วมกับกลุ่ม นปช.ภาคตะวันออกในวันที่ 7 มีนาคมที่ อ.แกลง จ.ระยอง และการเดินทางไปร่วมชุมนุมใหญ่ที่ กทม. ในวันที่ 12 มีนาคมเพื่อสำรวจความพร้อมของมวลชนก่อนจะเคลื่อนเข้าร่วมชุมนุมใหญ่ที่ กทม. และให้เตรียมรถยนต์เพื่อใช้ในการเดินทางโดยติดเครื่องขยายเสียงใช้เป็นเวที ปราศรัย ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่สกัดกั้นกลุ่มด้วยความรุนแรงให้นำมวลชนปิดเส้นทางการจราจรสาย หลัก 2 เส้น คือ บางนา-ตราด และเส้นทาง อ.องครักษ์-กรุงเทพฯ
ชมรมคนเสื้อแดงนครพนม 52 นำโดยนางมนพร เจริญศรี ประธานชมรม นายสมชัย คำเรือน ผู้ประสานงานกลุ่ม พร้อมสมาชิกจากชุมชนต่างๆ ในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองนครพนม จะพบปะกับสมาชิก นปช.หนองญาติ และประชุมหารือเพื่อเตรียมเดินทางไปร่วมชุมนุมใหญ่ที่ กทม.วันที่ 14 มีนาคม
นปช.กาฬสินธุ์ ก่อนร่วมชุมนุมใหญ่ มีกำหนดการจัดชุมนุมเพื่อขยายแนวร่วมเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเคลื่อนมวลชน มีแกนนำสำคัญที่มาร่วมปราศรัย เช่น นายสุทิน คลังแสง นายเวียง วรเชษฐ์ นายสำรอง โพธิ์ซก
นปช.สมุทรสาคร นางจินตนา เปลี่ยนคารม แกนนำกลุ่มย่อย อ.เมือง ได้จัดประชุมแนวร่วม นปช.ที่ร้านอาหารป๋าเทพ ต.โคกขาม โดยมีนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทยมาร่วมประชุมด้วย วันที่ 12 มีนาคม เวลา 09.00 น. มีการนัดแนวร่วม นปช.ประมาณ 100 คน รวมตัวกันที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ต.มหาชัย จ.สมุทรสาคร เพื่อสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จากนั้นจะนำรถยนต์ส่วนตัวติดเครื่องขยายเสียงประกอบขบวนแห่รอบตลอดมหาชัย ประชาสัมพันธ์การเคลื่อนไหวให้นำรถยนต์ที่จะเดินทางไปร่วมเข้าขบวนมาลง ทะเบียนเพื่อรับการสนับสนุนค่าน้ำมันจากส่วนกลาง
วันที่ 13 มีนาคม เวลา 14.00 น. กลุ่ม นปช.สมุทรสาครประมาณ 200 คน นัดรวมตัวที่บริเวณตลาดนัดต้นสน ถนนพระราม 2 อ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อรอแนวร่วมจากจังหวัดอื่นๆ เช่น ประจวบฯ เพชรบุรี สมุทรสงคราม มาสมทบ จากนั้นจะรวมตัวที่จุดนัดพบพุทธมณฑลสาย 4 นครปฐม เพื่อรวมกลุ่มกับ นปช.จ.กาญจนบุรี จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และจะเดินทางไปร่วมชุมนุมใหญ่ที่ สนามหลวง
สันติบาลรายงานสถานการณ์"แดง"11จว.เคลื่อนก่อน บุกกรุง
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ตำรวจสันติบาลได้จัดทำรายงานสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. แดงทั้งแผ่นดินนำ โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก่อนการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง ในวันที่ 13-14 มีนาคมนี้ โดยมีมวลชนจากทุกภาคเดินทางมาร่วมชุมนุมใหญ่เพื่อกดันให้รัฐบาลยุบสภา ปรากฏความเคลื่อนไหวในพื้นที่ต่างๆ ดังนี้
นปช.สตูล นำโดยนายจิรายุส เนาวเกตุ นายจรัส งะสมัน จะร่วมชุมนุมที่เต๊นท์ขายรถมือสองของนายฬัม คงสุวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.รวมใจไทยชาติพัฒนา พื้นที่หมู่ 12 ต.ฉลุง อ.เมือง ก่อนร่วมหารือกับแกนนำในพื้นที่จังหวัดตรัง เพื่อตรวจสอบยอดสมาชิกที่จะเดินทางไปร่วมชุมนุมที่ กทม. โดยใช้รถยนต์กระบะส่วนตัว
กลุ่ม นปช.อยุธยา 52 มีนายจีรัชญ์พัฒน์ ญาณสมบัติ เป็นแกนนำ และนางสุชาดา พวงโต ติดต่อกับแกนนำในชุมชนต่างๆ ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยาให้ติดต่อสมาชิกคนเสื้อแดงเดินทางไปร่วมชุมนุมตาม ที่แกนนำคนเสื้อแดงกำหนดขึ้นที่ จ.อ่างทอง จัดรถยนต์บัส 1 คัน จอดรอรับสมาชิกคนเสื้อแดงที่อู่ไพศาลเรซซิ่ง ถนนอู่ทอง ต.หอรัตนไชย นำโดยนายประพันธ์ ศรีพานิช ประธานกลุ่ม นปช.อ่างทอง (แดงอ่างทอง)
นปช.ประจวบคีรีขันธ์ มี พ.ต.ท.คมสันต์ วันเปลี่ยนสี ประธานกลุ่มเสื้อแดงหัวหิน 52 และคณะกรรมการ นปช.ประจวบฯ 15 คน หารือแนวทางเคลื่อนไหววันที่ 12 มีนาคม ร่วมกับ นปช.ภาคตะวันตก ที่บ้านของนางธนิกา ธนกรพงศ์สุข แกนนำกลุ่มเสื้อแดงหัวหิน 52 โดยมีนายพรเทพ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ไทยรักไทย ร่วมประชุมด้วย
นปช.ทับสะแก นำโดยนายณัฐพรรษ กระจ่างศิวาลัย จัดประชุมกำหนดแนวทางเคลื่อนไหวในวันที่ 12 มีนาคมร่วมกับ นปช.ภาคตะวันตก ที่ร้านปื๊ดท่อไอเสีย โดยมีกลุ่ม นปช.จากอำเภอต่างๆ ใน จ.ประจวบฯ เข้าร่วมประชุมด้วย
นายกิตติ คำแก่นคูณ แกนนำกลุ่มมวลชนคนรักประชาธิปไตย สาขา อ.น้ำพอง (มปข.น้ำพอง) จ.ขอนแก่น พร้อมด้วยสมาชิก 300 คน จัดประชุมที่สำนักงานกลุ่ม เพื่อรวบรวมสมาชิกชี้แจงการเดินทางและลงทะเบียนรถยนต์ที่จะเดินทางไปร่วม ชุมนุมที่ กทม. พร้อมจัดทำบัตร นปช.แดงทั้งแผ่นดินและจัดตั้งกองผ้าป่าเพื่อสมทบทุนในการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ที่จะเดินทางเข้า กทม.
กลุ่ม นปช.ฉะเชิงเทรา เปิดอบรมโรงเรียน นปช. ที่สมาคมสงเคราะห์การกุศล จ.ฉะเชิงเทรา มีผู้ลงทะเบียนเข้าอบรม 500 คน มีแกนนำ นปช.เข้าร่วมปราศรัย ประกอบด้วยนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง นางไพจิตร อักษรณรงค์ นายวิสา คัญทัพ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และ นพ.เหวง โตจิราการ จากนั้นได้นัดรวมพลสมาชิก นปช.ฉะเชิงเทรา จ.ปราจีนบุรี และ จ.สระแก้ว ให้เดินทางมารวมตัวกันที่หน้าศาลากลาง จ.ฉะเชิงเทรา ในวันที่ 13 มีนาคม
กลุ่มรักประชาธิปไตยริมปิง เรดิโอ โดยมีนายรัญชัย มาละพิงค์ แกนนำได้ตั้งโต๊ะรับบริจาคเงินและสิ่งของ ข้าวสารอาหารแห้งที่สถานีวิทยุชุมชนริมปิง เรดิโอ อ.เมือง จ.ลำพูน เพื่อระดมทุนนำไปใช้ในการเดินทางไปร่วมชุมนุมใหญ่ที่ กทม. วันที่ 14 มีนาคม
กลุ่ม นปช.คลองหาก จ.สระแก้ว นำโดยนายหล่อ และนายวิทย์ ไม่ทราบนามสกุล ได้นัดประชุมสมาชิกที่ทะเลคลองหาด คาดว่าจะมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมประมาณ 100 คน เป็นการประชุมเกี่ยวกับการเดินทางไปร่วมกับกลุ่ม นปช.ภาคตะวันออกในวันที่ 7 มีนาคมที่ อ.แกลง จ.ระยอง และการเดินทางไปร่วมชุมนุมใหญ่ที่ กทม. ในวันที่ 12 มีนาคมเพื่อสำรวจความพร้อมของมวลชนก่อนจะเคลื่อนเข้าร่วมชุมนุมใหญ่ที่ กทม. และให้เตรียมรถยนต์เพื่อใช้ในการเดินทางโดยติดเครื่องขยายเสียงใช้เป็นเวที ปราศรัย ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่สกัดกั้นกลุ่มด้วยความรุนแรงให้นำมวลชนปิดเส้นทางการจราจรสาย หลัก 2 เส้น คือ บางนา-ตราด และเส้นทาง อ.องครักษ์-กรุงเทพฯ
ชมรมคนเสื้อแดงนครพนม 52 นำโดยนางมนพร เจริญศรี ประธานชมรม นายสมชัย คำเรือน ผู้ประสานงานกลุ่ม พร้อมสมาชิกจากชุมชนต่างๆ ในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองนครพนม จะพบปะกับสมาชิก นปช.หนองญาติ และประชุมหารือเพื่อเตรียมเดินทางไปร่วมชุมนุมใหญ่ที่ กทม.วันที่ 14 มีนาคม
นปช.กาฬสินธุ์ ก่อนร่วมชุมนุมใหญ่ มีกำหนดการจัดชุมนุมเพื่อขยายแนวร่วมเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเคลื่อนมวลชน มีแกนนำสำคัญที่มาร่วมปราศรัย เช่น นายสุทิน คลังแสง นายเวียง วรเชษฐ์ นายสำรอง โพธิ์ซก
นปช.สมุทรสาคร นางจินตนา เปลี่ยนคารม แกนนำกลุ่มย่อย อ.เมือง ได้จัดประชุมแนวร่วม นปช.ที่ร้านอาหารป๋าเทพ ต.โคกขาม โดยมีนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทยมาร่วมประชุมด้วย วันที่ 12 มีนาคม เวลา 09.00 น. มีการนัดแนวร่วม นปช.ประมาณ 100 คน รวมตัวกันที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ต.มหาชัย จ.สมุทรสาคร เพื่อสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จากนั้นจะนำรถยนต์ส่วนตัวติดเครื่องขยายเสียงประกอบขบวนแห่รอบตลอดมหาชัย ประชาสัมพันธ์การเคลื่อนไหวให้นำรถยนต์ที่จะเดินทางไปร่วมเข้าขบวนมาลง ทะเบียนเพื่อรับการสนับสนุนค่าน้ำมันจากส่วนกลาง
วันที่ 13 มีนาคม เวลา 14.00 น. กลุ่ม นปช.สมุทรสาครประมาณ 200 คน นัดรวมตัวที่บริเวณตลาดนัดต้นสน ถนนพระราม 2 อ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อรอแนวร่วมจากจังหวัดอื่นๆ เช่น ประจวบฯ เพชรบุรี สมุทรสงคราม มาสมทบ จากนั้นจะรวมตัวที่จุดนัดพบพุทธมณฑลสาย 4 นครปฐม เพื่อรวมกลุ่มกับ นปช.จ.กาญจนบุรี จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และจะเดินทางไปร่วมชุมนุมใหญ่ที่ สนามหลวง
Re: ข่าว 5 มีคน 53
วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:40:01 น. มติชนออนไลน์
กรมสรรพากรคือตัวปัญหา?
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
เคยเขียนอธิบายเรื่องกรมสรรพากรสามารถเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากนายจาก นายพาทนทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร เกือบ 12,000 ล้านบาทได้หรือไม่ (หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึด ทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กว่า 46,000ล้านบาทโดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณอำพรางหรือซุกหุ้นชินคอร์ปไว้ในชื่อลูกและเครือญาติ)กรณีบุคคล ทั้งสองซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ป 329.2 ล้านหุ้นจาก บริษัท แอมเพิลริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 แต่ขายให้กับ บริษัทเท มาเส็ก โฮลดิ้ง ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ทำให้ได้ผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้นกว่า 15,883.9 ล้านบาท(ดูไขปมคดีภาษี"โอ๊ค-เอม"1.2 หมื่นล้านหลังศาลฎีกาฟันธง "แม้ว" ซุกหุ้น ยึดทรัพย์4.6 หมื่นล้าน,มติชนรายวัน 2 มีนาคม2553 หน้า 17หรือ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267420633&grpid=10&catid=02)
แต่ด้วยเวลาจำกัดในการศึกษาทำให้คำอธิบายไม่ครบถ้วน จึงยังมีผู้คนบางส่วนเห็นว่า เมื่อนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาเป็นเพียง"ผู้ถือหุ้นแทน" หรือ"นอมินี"ของพ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเงินได้เพราะไม่ได้รับ ประโยชน์หรือได้กำไรจากการขายหุ้นดังกล่าว
ตามหลักของกฎหมายภาษีซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ การประเมินหรือเรียกเก็บภาษีนั้น มุ่งที่เก็บจากผู้ มีเงินได้ในขณะที่ทำกิจการหรือกิจกรรมต่างๆโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ กิจการนั้นๆ ดูจากประมวลรัษฎากร มาตรา 61 ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า บุคคลใดมีชื่อในหนังสือสำคัญๆแสดงว่า
(1) เป็นเจ้าของทรัพย์สิน อันจะระบุไว้ในหนังสือสำคัญ และทรัพย์สินก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน หรือ
(2) เป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมิน โดยหนังสือสำคัญเช่นว่านั้น
เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีทั้งหมด จากผู้มีชื่อในหนังสือสำคัญนั้นก็ได้ แต่ถ้าบุคคลนั้นต้องโอนเงินได้พึงประเมินให้แก่บุคคลอื่น บุคคลนั้นมีสิทธิหักเงินซึ่งต้องโอนให้แก่บุคคลอื่นตามส่วน
ในกรณีนี้นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา มีชื่อเป็น กรรมการบริษัทแอมเพิลริชฯ(ตามที่แจ้งไว้กับสำนักงานคณะกรรมการกับ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และกรมสรรพากร)และมีชื่อ เป็นผู้รับโอนหุ้นซึ่งได้ผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้น ดังนั้น เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรจึงมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีจากบุคคลทั้งสองได้
นอกจากนั้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 ก็มีบทบัญญัติชัดเจนว่า มุ่งเก็บภาษีจากผู้มีเงินได้(ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกิจการ)ซึ่งกรณีนี้ เป็นเงินได้ตามมาตาม 40(4)(ช)ซึ่งระบุว่า เป็นผล ประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ทั้งนี้เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน
เมื่อดูข้อเท็จจริงประกอบคำวินิจฉัย ของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 ที่กำหนดให้พนักงานลูกจ้าง กรรมการ ที่ปรึกษาได้รับผลประโยชน์ส่วนต่างจากราคาหุ้นที่บริษัทหรือนิติบุคคลโอนให้ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินแล้ว เห็นชัดว่า บุคคลทั้งสองได้ผลประโยชน์จากการโอนหุ้นชินคอร์ปกว่า 15,000 ล้านบาท
อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งตัดสินคดีเกี่ยวกับภาษีมานานกว่า 20 ปี อธิบายว่า เหตุที่กฎหมายภาษีมุ่งเก็บภาษีจากผู้มีเงินได้ในขณะทำกิจการหรือกิจกรรมนั้น เพราะในขณะที่ทำกิจกรรมนั้น กรมสรรพากรไม่มีทางรู้ได้ว่า ใครเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง จึงต้องดูว่า ในหนังสือสำคัญบุคคลใดมีชื่อปรากฎอยู่ แต่ถ้าต้องเก็บภาษีจากเจ้าของที่แท้จริงเท่านั้น เกิดสู้คดีอยู่ เวลาผ่านไปหลายปี ก็มาอ้างว่า อีกบุคคลหนึ่งเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง กรมสรรพากรต้องไปเริ่มประเมินภาษีใหม่ จะทำให้กรมสรรพากรไม่มีอำนาจเนื่องจากเลยระยะเวลาที่จะตรวจสอบภาษีได้
ความจริงปัญหาการเก็บภาษีการโอนหุ้นจากครอบครัวชินวัตร(หรือผู้มีอำนาจ ทางการเมืองอื่นๆเช่น ช่วงรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา พ.ศ.2538-2539)จะไม่เกิดขึ้น ถ้าผู้บริหารของกรรมสรรพากรและเจ้าหน้าที่ที่บางส่วนไม่ยอมปรวาณาตัวลงเป็น ทาสผู้มีอำนาจ จนบางรายกรรมตามทันไปแล้ว
ข้อเท็จจริงดังกล่าวได้รับการยืนยันจากนาย กรณ์ จาติวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่เขียนบทความลงในเฟซบุ๊คเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2533 กล่าวถึงช่วงที่ยังทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบภาษีการโอนหุ้นของครอบครัวชิน วัตร ว่า
"ผมได้ไปร้องเรียนกับอธิบดีกรมสรรพากร ณ ขณะนั้นว่า การซื้อมาขายไปโดยลูกของทักษิณทั้งสองคนเป็นนิติกรรมที่ควรต้องมีภาระภาษี ให้แผ่นดิน
ผมจำได้ว่า ความร่วมมือโดยหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้มาด้วยความยากเย็น ซ้ำแล้วยังมีความพยายามขุดคุ้ยว่า ผมเคยมีพฤติกรรมอันใดในสมัยที่ผมยังอยู่ในวงการหุ้นที่จะเป็นจุดอ่อน ที่จะให้กับฝ่ายตรงข้ามหรือไม่และเจ้าหน้าที่สรรพากรเองก็แอบปล่อยประวัติ ภาษีผม (ซึ่งเป็นความลับส่วนตัว) ให้กับ ส.ส.ไทยรักไทย ก็โชคดีที่ผมไม่เคยทำอะไรไว้ให้ตัวเองมีแผล แต่ญาติในตระกูลเกือบทุกคนโดนข่มขู่หมดในระยะนั้น"
ในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในขณะนี้ นายกรณ์ควรถือโอกาสยกเครื่องกรมสรรพากรเพื่อหามาตรการป้องกันการแทรกแซงทาง การเมือง จะได้ไม่ต้องมาเจ็บปวดเช่นนี้อีก
กรมสรรพากรคือตัวปัญหา?
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
เคยเขียนอธิบายเรื่องกรมสรรพากรสามารถเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากนายจาก นายพาทนทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร เกือบ 12,000 ล้านบาทได้หรือไม่ (หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึด ทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กว่า 46,000ล้านบาทโดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณอำพรางหรือซุกหุ้นชินคอร์ปไว้ในชื่อลูกและเครือญาติ)กรณีบุคคล ทั้งสองซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ป 329.2 ล้านหุ้นจาก บริษัท แอมเพิลริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 แต่ขายให้กับ บริษัทเท มาเส็ก โฮลดิ้ง ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ทำให้ได้ผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้นกว่า 15,883.9 ล้านบาท(ดูไขปมคดีภาษี"โอ๊ค-เอม"1.2 หมื่นล้านหลังศาลฎีกาฟันธง "แม้ว" ซุกหุ้น ยึดทรัพย์4.6 หมื่นล้าน,มติชนรายวัน 2 มีนาคม2553 หน้า 17หรือ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267420633&grpid=10&catid=02)
แต่ด้วยเวลาจำกัดในการศึกษาทำให้คำอธิบายไม่ครบถ้วน จึงยังมีผู้คนบางส่วนเห็นว่า เมื่อนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาเป็นเพียง"ผู้ถือหุ้นแทน" หรือ"นอมินี"ของพ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเงินได้เพราะไม่ได้รับ ประโยชน์หรือได้กำไรจากการขายหุ้นดังกล่าว
ตามหลักของกฎหมายภาษีซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ การประเมินหรือเรียกเก็บภาษีนั้น มุ่งที่เก็บจากผู้ มีเงินได้ในขณะที่ทำกิจการหรือกิจกรรมต่างๆโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ กิจการนั้นๆ ดูจากประมวลรัษฎากร มาตรา 61 ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า บุคคลใดมีชื่อในหนังสือสำคัญๆแสดงว่า
(1) เป็นเจ้าของทรัพย์สิน อันจะระบุไว้ในหนังสือสำคัญ และทรัพย์สินก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน หรือ
(2) เป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมิน โดยหนังสือสำคัญเช่นว่านั้น
เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีทั้งหมด จากผู้มีชื่อในหนังสือสำคัญนั้นก็ได้ แต่ถ้าบุคคลนั้นต้องโอนเงินได้พึงประเมินให้แก่บุคคลอื่น บุคคลนั้นมีสิทธิหักเงินซึ่งต้องโอนให้แก่บุคคลอื่นตามส่วน
ในกรณีนี้นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา มีชื่อเป็น กรรมการบริษัทแอมเพิลริชฯ(ตามที่แจ้งไว้กับสำนักงานคณะกรรมการกับ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และกรมสรรพากร)และมีชื่อ เป็นผู้รับโอนหุ้นซึ่งได้ผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้น ดังนั้น เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรจึงมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีจากบุคคลทั้งสองได้
นอกจากนั้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 ก็มีบทบัญญัติชัดเจนว่า มุ่งเก็บภาษีจากผู้มีเงินได้(ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกิจการ)ซึ่งกรณีนี้ เป็นเงินได้ตามมาตาม 40(4)(ช)ซึ่งระบุว่า เป็นผล ประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ทั้งนี้เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน
เมื่อดูข้อเท็จจริงประกอบคำวินิจฉัย ของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 ที่กำหนดให้พนักงานลูกจ้าง กรรมการ ที่ปรึกษาได้รับผลประโยชน์ส่วนต่างจากราคาหุ้นที่บริษัทหรือนิติบุคคลโอนให้ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินแล้ว เห็นชัดว่า บุคคลทั้งสองได้ผลประโยชน์จากการโอนหุ้นชินคอร์ปกว่า 15,000 ล้านบาท
อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งตัดสินคดีเกี่ยวกับภาษีมานานกว่า 20 ปี อธิบายว่า เหตุที่กฎหมายภาษีมุ่งเก็บภาษีจากผู้มีเงินได้ในขณะทำกิจการหรือกิจกรรมนั้น เพราะในขณะที่ทำกิจกรรมนั้น กรมสรรพากรไม่มีทางรู้ได้ว่า ใครเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง จึงต้องดูว่า ในหนังสือสำคัญบุคคลใดมีชื่อปรากฎอยู่ แต่ถ้าต้องเก็บภาษีจากเจ้าของที่แท้จริงเท่านั้น เกิดสู้คดีอยู่ เวลาผ่านไปหลายปี ก็มาอ้างว่า อีกบุคคลหนึ่งเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง กรมสรรพากรต้องไปเริ่มประเมินภาษีใหม่ จะทำให้กรมสรรพากรไม่มีอำนาจเนื่องจากเลยระยะเวลาที่จะตรวจสอบภาษีได้
ความจริงปัญหาการเก็บภาษีการโอนหุ้นจากครอบครัวชินวัตร(หรือผู้มีอำนาจ ทางการเมืองอื่นๆเช่น ช่วงรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา พ.ศ.2538-2539)จะไม่เกิดขึ้น ถ้าผู้บริหารของกรรมสรรพากรและเจ้าหน้าที่ที่บางส่วนไม่ยอมปรวาณาตัวลงเป็น ทาสผู้มีอำนาจ จนบางรายกรรมตามทันไปแล้ว
ข้อเท็จจริงดังกล่าวได้รับการยืนยันจากนาย กรณ์ จาติวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่เขียนบทความลงในเฟซบุ๊คเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2533 กล่าวถึงช่วงที่ยังทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบภาษีการโอนหุ้นของครอบครัวชิน วัตร ว่า
"ผมได้ไปร้องเรียนกับอธิบดีกรมสรรพากร ณ ขณะนั้นว่า การซื้อมาขายไปโดยลูกของทักษิณทั้งสองคนเป็นนิติกรรมที่ควรต้องมีภาระภาษี ให้แผ่นดิน
ผมจำได้ว่า ความร่วมมือโดยหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้มาด้วยความยากเย็น ซ้ำแล้วยังมีความพยายามขุดคุ้ยว่า ผมเคยมีพฤติกรรมอันใดในสมัยที่ผมยังอยู่ในวงการหุ้นที่จะเป็นจุดอ่อน ที่จะให้กับฝ่ายตรงข้ามหรือไม่และเจ้าหน้าที่สรรพากรเองก็แอบปล่อยประวัติ ภาษีผม (ซึ่งเป็นความลับส่วนตัว) ให้กับ ส.ส.ไทยรักไทย ก็โชคดีที่ผมไม่เคยทำอะไรไว้ให้ตัวเองมีแผล แต่ญาติในตระกูลเกือบทุกคนโดนข่มขู่หมดในระยะนั้น"
ในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในขณะนี้ นายกรณ์ควรถือโอกาสยกเครื่องกรมสรรพากรเพื่อหามาตรการป้องกันการแทรกแซงทาง การเมือง จะได้ไม่ต้องมาเจ็บปวดเช่นนี้อีก
Re: ข่าว 5 มีคน 53
มาร์ค เผย เสียใจที่ประเทศไทย ถูกคนกลุ่มเล็ก ๆ สกัดไม่ให้เดินหน้า
ที่มา: คม ชัด ลึก วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2553
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความกังวลในไม่กี่วันข้างหน้าที่คนกลุ่มเล็กๆมีเป้าหมายให้บ้านเมืองวุ่นวาย และหวังการเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีนอกระบบโดยหวังล้มกระดานเพื่อประโยชน์ของตัว เองนั้น ต้องยอมรับความจริงนี้ว่าการพูดอย่างอื่นไม่สามารถทำให้คนเชื่อถือได้ วิกฤตยืดเยื้อที่แบ่งแยกประชาชนมานานนั้น คนใดคนหนึ่งแก้ไขปัญหาเองไม่ได้ รัฐบาลต้องทำให้ประชาชนปูทางไปสู่ความเชื่อมั่น หากให้ความจริงกับประชาชนแล้ว แนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาลต้องแสวงหาความร่วมมือตลอดเวลาโดยทำจากประชาชน ทุกกลุ่ม ท่ามกลางความแตกแยกในหนึ่งปีที่ผ่านมา รัฐบาลยึดหลักกฎหมาย ถูกต้อง เคารพสิทธิของทุกฝ่าย โดยอาศัยความอดทน ความแน่วแน่ในการแก้ไขปัญหาการเมืองครั้งนี้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนเสียดายและเสียใจว่า สังคมส่วนใหญ่ต้องการเดินหน้า แต่ยังเสี่ยงกับการเป็นเหยื่อคนกลุ่มเล็กๆที่ต้องการความวุ่นวายเพื่อ ประโยชน์ตัวเอง รัฐบาลพยายามแสดงจุดยืนและพิสูจน์ว่า ไม่ใช้ความรุนแรงและไม่คิดปราบปรามการชุมุนม แต่ชุดข้อมูลที่คลาดเคลื่อนที่ทำให้หลายคนที่จะมาชุมนุมนั้นเชื่อมั่น ตรงนี้ทำให้การบริหารจัดการยากขึ้น เช่น คลิปเสียงวีดีโอ บางคนที่มาชี้หน้าด่าตน บางคนส่งจดหมายมาด่าตนที่บ้าน บางคนโทรศัพท์มาด่าตนที่เปิดเผยพอสมควร หลายคนเชื่อเรื่องคลิปเสียงวีดีโอนั้นเป็นจริง หากตนได้รับฟังก็จะเชื่อและจะมาชุมนุม ตรงนี้มันท้าทายมาก อย่างไรก็ตามตนขอฝากสื่อมวลชนด้วย เพราะ 2 - 3 วันนี้มีการขยายผลกับการที่ปล่อยข่าวว่ารัฐบาลขึ้นบัญชีดำบางคน ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง และหลายคนเชื่อสื่อบางสื่อที่ไม่ทราบว่าเป็นสื่อเทียมหรือไม่ หากเป็นแบบนี้สังคมไทยจะล้มละลาย หากให้การสร้างความเท็จที่นำไปสู่ความรุนแรงทำลายความสงบสุขและสถาบันของ ประเทศ แต่ตนเชื่อมั่นความถูกต้อง เหตุผล และความดีที่สังคมไทยสะสมไว้จะชนะในที่สุด
##########################
กลุมไหนหว่า เป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ
กลุ่มนี้รึเปล่า...
หรือว่า กลุ่มนี้...
หรือ กลุ่มนี้...
แต่คงไม่ได้โง่ หมายถึงกลุ่มนี้นะ
ที่มา: คม ชัด ลึก วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2553
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความกังวลในไม่กี่วันข้างหน้าที่คนกลุ่มเล็กๆมีเป้าหมายให้บ้านเมืองวุ่นวาย และหวังการเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีนอกระบบโดยหวังล้มกระดานเพื่อประโยชน์ของตัว เองนั้น ต้องยอมรับความจริงนี้ว่าการพูดอย่างอื่นไม่สามารถทำให้คนเชื่อถือได้ วิกฤตยืดเยื้อที่แบ่งแยกประชาชนมานานนั้น คนใดคนหนึ่งแก้ไขปัญหาเองไม่ได้ รัฐบาลต้องทำให้ประชาชนปูทางไปสู่ความเชื่อมั่น หากให้ความจริงกับประชาชนแล้ว แนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาลต้องแสวงหาความร่วมมือตลอดเวลาโดยทำจากประชาชน ทุกกลุ่ม ท่ามกลางความแตกแยกในหนึ่งปีที่ผ่านมา รัฐบาลยึดหลักกฎหมาย ถูกต้อง เคารพสิทธิของทุกฝ่าย โดยอาศัยความอดทน ความแน่วแน่ในการแก้ไขปัญหาการเมืองครั้งนี้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนเสียดายและเสียใจว่า สังคมส่วนใหญ่ต้องการเดินหน้า แต่ยังเสี่ยงกับการเป็นเหยื่อคนกลุ่มเล็กๆที่ต้องการความวุ่นวายเพื่อ ประโยชน์ตัวเอง รัฐบาลพยายามแสดงจุดยืนและพิสูจน์ว่า ไม่ใช้ความรุนแรงและไม่คิดปราบปรามการชุมุนม แต่ชุดข้อมูลที่คลาดเคลื่อนที่ทำให้หลายคนที่จะมาชุมนุมนั้นเชื่อมั่น ตรงนี้ทำให้การบริหารจัดการยากขึ้น เช่น คลิปเสียงวีดีโอ บางคนที่มาชี้หน้าด่าตน บางคนส่งจดหมายมาด่าตนที่บ้าน บางคนโทรศัพท์มาด่าตนที่เปิดเผยพอสมควร หลายคนเชื่อเรื่องคลิปเสียงวีดีโอนั้นเป็นจริง หากตนได้รับฟังก็จะเชื่อและจะมาชุมนุม ตรงนี้มันท้าทายมาก อย่างไรก็ตามตนขอฝากสื่อมวลชนด้วย เพราะ 2 - 3 วันนี้มีการขยายผลกับการที่ปล่อยข่าวว่ารัฐบาลขึ้นบัญชีดำบางคน ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง และหลายคนเชื่อสื่อบางสื่อที่ไม่ทราบว่าเป็นสื่อเทียมหรือไม่ หากเป็นแบบนี้สังคมไทยจะล้มละลาย หากให้การสร้างความเท็จที่นำไปสู่ความรุนแรงทำลายความสงบสุขและสถาบันของ ประเทศ แต่ตนเชื่อมั่นความถูกต้อง เหตุผล และความดีที่สังคมไทยสะสมไว้จะชนะในที่สุด
##########################
กลุมไหนหว่า เป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ
กลุ่มนี้รึเปล่า...
หรือว่า กลุ่มนี้...
หรือ กลุ่มนี้...
แต่คงไม่ได้โง่ หมายถึงกลุ่มนี้นะ
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ