บทเรียนการสิ้นชาติเขมรสำหรับประเทศไทย
หน้า 1 จาก 1
บทเรียนการสิ้นชาติเขมรสำหรับประเทศไทย
บทเรียนการสิ้นชาติเขมรสำหรับประเทศไทย
Mon, 2010-04-05 11:59
ดร.โสภณ พรโชคชัย
เขมรมีคำทำนายว่า วันหนึ่งประเทศไทยจะต้องบ้านแตกสาแหรกขาดยิ่งกว่าที่พวกเขาเคยประสบมาเสียอีก นี่อาจเป็นแค่คำทำนาย คำสาป คำขู่ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมไม่ได้เชื่อไสยศาสตร์ที่ผู้คนมักนำมาข่มขู่ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ผมมักจะตอกกลับคนเหล่านั้นว่า “ไม่รู้จริง ก็อย่างมงาย” (นักเลยครับ)
ผมไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ ผมเป็นเพียงที่ปรึกษากระทรวงการคลัง รัฐบาลเวียดนาม และได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง ราชอาณาจักรกัมพูชาให้ไปบรรยายหรือร่วมกันจัดงานประชุม-สัมมนาเป็นระยะ ๆ จึงได้รับรู้เรื่องราวและเห็นร่องรอยของบทเรียนการสิ้นชาติเขมร ซึ่งคนไทยควรได้รับทราบ
ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งที่เขมรสิ้นชาติเมื่อ 30 ปีก่อนนั้น ประชาชนย้ายหนีตายมาตามตะเข็บชายแดนไทย พวกที่พอมีฐานะต้องเอาทองมาแลกข้าวประทังชีวิต อาคารบ้านเรือน ไร่นาสาโทที่ตัวเองเคยเป็นเจ้าของก็ล้วนไร้ค่า
ชาวเขมรในกรุงพนมเปญเล่าให้ผมฟังเมื่อสัปดาห์ก่อนตอนที่ผมไปสอนหนังสือที่เขมรว่า หลังยุคเขมรแดงแล้ว จึงปรากฏว่ามีชาวเขมรอพยพกลับเข้าไปอยู่ในกรุงพนมเปญอีกครั้งหนึ่ง เมื่อย้ายเข้ามาใหม่ ๆ ราคาบ้านและที่ดินในกรุงพนมเปญแทบไม่มีค่า ประชาชนต่างมาจับจองอาคารตึกแถวที่ถูกทิ้งร้างไว้ในใจกลางเมืองโดยเจ้าของเดิมคงตายหรือไม่ก็ย้ายไปประเทศอื่นแล้ว ครอบครัวที่กลับมาก่อน จะอาศัยอยู่ชั้นบนสุดของตึกแถว 3-4 ชั้น ทั้งนี้เพราะมักมีการปล้นชิงทรัพย์สินอยู่เสมอ การอยู่อาศัยในชั้นบนสุดย่อมปลอดภัยกว่า
ครอบครัวที่ครอบครองตึกแถวร้างอยู่ มักจะเชิญชวนแกมขอร้องครอบครัวที่กลับมาจากชนบทในภายหลังให้มาอยู่ชั้นล่างจากตน เผื่อมีโจรมาปล้น ก็จะต้องผ่านครอบครัวที่มาภายหลังและอยู่ชั้นล่าง ๆ ก่อน ครอบครัวที่มาหลังสุดจะได้ครอบครองชั้นล่างสุดที่มีความเสี่ยงในการถูกปล้นสูงสุด
จะเห็นได้ว่าในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดนั้น ไม่มีใครเห็นอนาคต ไม่มีใครสามารถจะเชื่อได้ว่าบ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขอีกครั้งหนึ่งเช่นทุกวันนี้ ที่สำคัญในห้วงเวลานั้นมูลค่าของที่ดินและอาคารแทบจะไม่มีเหลือต่างจากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมบัติสุดล้ำค่า แต่พอบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ มูลค่าของทรัพย์สินจึงกลับคืนมาใหม่ พวกที่อยู่ชั้นล่างสุดของตึกแถวกลับโชคดีเพราะเป็นทำเลดีมีราคามากกว่า
เขมรสิ้นชาติเพราะอะไร คงต้องไปถามผู้รู้ทางประวัติศาสตร์ แต่ก็อีกนั่นแหละ ข้อสรุปของแต่ละคนก็คงเป็นแบบ “สองคนยลตามช่อง” แล้วแต่มุมมอง อาจเกี่ยวเนื่องตั้งแต่จักรวรรดินิยม คอมมิวนิสต์ สงครามเย็น สงครามตัวแทน ฯลฯ
แต่ที่แน่ ๆ ก็คือเขมรสิ้นชาติเพราะการต่อสู้ของผู้นำประเทศ จนหญ้าแพรกแหลกลาญ ฝ่ายแพ้ก็หนีตายไปอยู่ประเทศลูกพี่คือสหรัฐอเมริกา ผู้นำประเทศไม่เห็นหัวชาวบ้านอยู่แล้ว เขาพร้อมที่จะกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้ได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของชาวบ้านตาดำ ๆ นับหมื่นนับแสนก็ตาม
ชาวเขมรที่รวย ๆ หรือพอมีฐานะและเป็นพวกที่มีวิชาความรู้ก็กลายสภาพเป็นเขมรอพยพได้รับการคัดให้ไปอยู่ไปยุโรปและอเมริกา แต่หลายคนที่มีคุณสมบัติต่ำกว่าหรือมีโอกาสน้อยกว่าก็ตายไปในแผ่นดินเขมรหรือไม่ก็ตายกลางทะเลในฐานะมนุษย์เรือผู้อพยพที่หนีไม่รอดนั่นเอง
ส่วนชาวบ้านชาวช่อง ตาสีตาสา คนธรรมดา สามัญชนก็ต้องอยู่เผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายร่วมกับประเทศชาติในภาวะตกต่ำสุดขีด แต่คนเหล่านี้แหละคือผู้สร้างชาติตัวจริง เขมรที่ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ อาจเป็นเพราะผู้นำส่วนหนึ่ง แต่ทรัพยากรสำคัญก็คือพวก “ฝุ่นเมือง” หรือพวก “ไพร่” ที่ไร้ที่ไปนั่นเอง พอพวกเขาได้มีโอกาสทำมาหากินตามปกติสุข เศรษฐกิจก็เดินหน้าต่อไป
นอกจากนี้เขมรยังมีทรัพยากรมากมาย มีประชากรจำนวนมากพอที่จะกลายเป็นแรงงานราคาถูกให้กับนายทุนข้ามชาติที่มาลงทุน จึงทำให้ประเทศเจริญขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด และเมื่อฝุ่นจางลงแล้ว เหล่าชาวเขมรปัญญาชน-กฎุมพีที่ตอนนี้กลายเป็นอเมริกันชนไปแล้ว ก็ได้ทีกลับมาทำมาหากินในประเทศเกิดอีกครั้งหนึ่ง
กฎุมพีเขมรเหล่านี้ก็คือ พวกชนชั้นสูงที่มีฐานะดี ผู้มีการศึกษาที่ดี รวมทั้งชนชั้นกลางที่มีโอกาสดีกว่าคนอื่น อาจกล่าวได้ว่าคนเหล่านี้จำนวนมากได้วีซ่า ได้กรีนการ์ด หรือแม้แต่ได้สัญชาติอเมริกัน ก่อนเขมรแตกจริง ๆ เสียอีก พวกนี้ไม่ได้มีส่วนสร้างชาติใด ๆ เลย อย่างไรก็ตามก็ยังมีกฎุมพีปัญญาชนส่วนหนึ่งที่มีส่วนสร้างชาติ พวกนี้คงเป็นพวกผู้มีอุดมการณ์อันแรงกล้าที่อยู่กับกลุ่มผู้นำที่ชนะจนถึงวันนี้ และไม่ได้หนีไปไหน แต่ก็ถือเป็นกฎุมพีส่วนน้อยนิด
ผมจำได้ว่าสมัยที่ผมเรียนปี 1 อยู่ธรรมศาสตร์เมื่อปี 2519 ก็ได้ข่าวว่านายแบงค์ เจ้าของกิจการใหญ่โตก็ทำวีซาเตรียมตัวหนีไปต่างประเทศเช่นกัน โชคดีที่ประเทศไทยไม่ได้ประสบชะตากรรมเลวร้ายเช่นประเทศอื่นในคาบสมุทรอินโดจีนนี้
ถ้าวันหน้าประเทศไทยเกิดสงครามกลางเมือง ผมว่าพวกกฎุมพีไทยก็คงเริ่มผ่องถ่ายขายทรัพย์สินเพื่อเตรียมตัวไปตั้งหลักแห่งอยู่เมืองนอกกันตั้งแต่เริ่มมีเค้าลางร้ายแล้ว จนเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ ประชาชนก็จะมาร่วมกันสร้างชาติขึ้นมาใหม่บนซากปรักหักพังของประเทศ
แม้ชาติจะยืนขึ้นมาใหม่ได้อย่างแน่นอน แต่ก็เสียเวลาไปอย่างน่าเสียดาย ทุกวันนี้กว่าประเทศลาว เขมร เวียดนาม พม่า จะมีระดับรายได้ประชาชาติต่อหัวเท่ากับไทย ก็คงยังกินเวลาอีกหลายปี โดยเฉพาะพม่า ที่บ้านเมืองยุ่งเหยิงก็เพราะพวกผู้ปกครองโดยแท้ ส่วนเวียดนามคงจะมีโอกาส “หายใจรดต้นคอ” ไทยในไม่ช้าเพราะความเข้มแข็งทางการเมือง ความกลมเกลียวของคนในชาติ และคุณสมบัติที่ขยัน อดทนของประชาชนนั่นเอง
ในท้ายที่สุดนี้ ผมสังหรณ์ว่าคำทำนายเขมรอาจเป็นจริง เพราะสมัยก่อนเราขัดแย้งเรื่องลัทธิการเมือง ก็ยังไม่เกิดความแตกแยกในสังคมมากเช่นทุกวันนี้ที่มีการตอกลิ่ม ใส่ร้ายป้ายสีกันมาตั้งแต่ปี 2547 จนทำให้ประชาชนที่เชื่อต่างกันรู้สึกจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้วอีกต่อไปแล้ว การแตกแยกเช่นนี้เมื่อทำให้ไทยล้าหลังลง วันหนึ่งแผ่นดินไทยก็อาจถูกแบ่งแยก เหมือนภาคใต้ที่หากวันนี้มาเลเซียยังด้อยกว่าไทยเช่นพม่าคู่อาฆาตในประวัติศาสตร์ ก็คงไม่มีปัญหา 3 จังหวัดชายแดน แต่อาจมีปัญหาการทะลักของแรงงานราคาถูกเช่นกรณีพม่าก็ได้
อย่าให้ไทยต้องเข้าสู่กลียุคเพราะสงครามกลางเมืองเลย พวกชนชั้นนำอย่ามัวเข่นฆ่าทำลายกันจนลืมคิดถึงประโยชน์ของประเทศชาติเลยครับ พวกคุณล้วนไม่ใช่เจ้าของประเทศหรือผู้สร้างชาติตัวจริง
Mon, 2010-04-05 11:59
ดร.โสภณ พรโชคชัย
เขมรมีคำทำนายว่า วันหนึ่งประเทศไทยจะต้องบ้านแตกสาแหรกขาดยิ่งกว่าที่พวกเขาเคยประสบมาเสียอีก นี่อาจเป็นแค่คำทำนาย คำสาป คำขู่ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมไม่ได้เชื่อไสยศาสตร์ที่ผู้คนมักนำมาข่มขู่ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ผมมักจะตอกกลับคนเหล่านั้นว่า “ไม่รู้จริง ก็อย่างมงาย” (นักเลยครับ)
ผมไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ ผมเป็นเพียงที่ปรึกษากระทรวงการคลัง รัฐบาลเวียดนาม และได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง ราชอาณาจักรกัมพูชาให้ไปบรรยายหรือร่วมกันจัดงานประชุม-สัมมนาเป็นระยะ ๆ จึงได้รับรู้เรื่องราวและเห็นร่องรอยของบทเรียนการสิ้นชาติเขมร ซึ่งคนไทยควรได้รับทราบ
ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งที่เขมรสิ้นชาติเมื่อ 30 ปีก่อนนั้น ประชาชนย้ายหนีตายมาตามตะเข็บชายแดนไทย พวกที่พอมีฐานะต้องเอาทองมาแลกข้าวประทังชีวิต อาคารบ้านเรือน ไร่นาสาโทที่ตัวเองเคยเป็นเจ้าของก็ล้วนไร้ค่า
ชาวเขมรในกรุงพนมเปญเล่าให้ผมฟังเมื่อสัปดาห์ก่อนตอนที่ผมไปสอนหนังสือที่เขมรว่า หลังยุคเขมรแดงแล้ว จึงปรากฏว่ามีชาวเขมรอพยพกลับเข้าไปอยู่ในกรุงพนมเปญอีกครั้งหนึ่ง เมื่อย้ายเข้ามาใหม่ ๆ ราคาบ้านและที่ดินในกรุงพนมเปญแทบไม่มีค่า ประชาชนต่างมาจับจองอาคารตึกแถวที่ถูกทิ้งร้างไว้ในใจกลางเมืองโดยเจ้าของเดิมคงตายหรือไม่ก็ย้ายไปประเทศอื่นแล้ว ครอบครัวที่กลับมาก่อน จะอาศัยอยู่ชั้นบนสุดของตึกแถว 3-4 ชั้น ทั้งนี้เพราะมักมีการปล้นชิงทรัพย์สินอยู่เสมอ การอยู่อาศัยในชั้นบนสุดย่อมปลอดภัยกว่า
ครอบครัวที่ครอบครองตึกแถวร้างอยู่ มักจะเชิญชวนแกมขอร้องครอบครัวที่กลับมาจากชนบทในภายหลังให้มาอยู่ชั้นล่างจากตน เผื่อมีโจรมาปล้น ก็จะต้องผ่านครอบครัวที่มาภายหลังและอยู่ชั้นล่าง ๆ ก่อน ครอบครัวที่มาหลังสุดจะได้ครอบครองชั้นล่างสุดที่มีความเสี่ยงในการถูกปล้นสูงสุด
จะเห็นได้ว่าในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดนั้น ไม่มีใครเห็นอนาคต ไม่มีใครสามารถจะเชื่อได้ว่าบ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขอีกครั้งหนึ่งเช่นทุกวันนี้ ที่สำคัญในห้วงเวลานั้นมูลค่าของที่ดินและอาคารแทบจะไม่มีเหลือต่างจากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมบัติสุดล้ำค่า แต่พอบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ มูลค่าของทรัพย์สินจึงกลับคืนมาใหม่ พวกที่อยู่ชั้นล่างสุดของตึกแถวกลับโชคดีเพราะเป็นทำเลดีมีราคามากกว่า
เขมรสิ้นชาติเพราะอะไร คงต้องไปถามผู้รู้ทางประวัติศาสตร์ แต่ก็อีกนั่นแหละ ข้อสรุปของแต่ละคนก็คงเป็นแบบ “สองคนยลตามช่อง” แล้วแต่มุมมอง อาจเกี่ยวเนื่องตั้งแต่จักรวรรดินิยม คอมมิวนิสต์ สงครามเย็น สงครามตัวแทน ฯลฯ
แต่ที่แน่ ๆ ก็คือเขมรสิ้นชาติเพราะการต่อสู้ของผู้นำประเทศ จนหญ้าแพรกแหลกลาญ ฝ่ายแพ้ก็หนีตายไปอยู่ประเทศลูกพี่คือสหรัฐอเมริกา ผู้นำประเทศไม่เห็นหัวชาวบ้านอยู่แล้ว เขาพร้อมที่จะกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้ได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของชาวบ้านตาดำ ๆ นับหมื่นนับแสนก็ตาม
ชาวเขมรที่รวย ๆ หรือพอมีฐานะและเป็นพวกที่มีวิชาความรู้ก็กลายสภาพเป็นเขมรอพยพได้รับการคัดให้ไปอยู่ไปยุโรปและอเมริกา แต่หลายคนที่มีคุณสมบัติต่ำกว่าหรือมีโอกาสน้อยกว่าก็ตายไปในแผ่นดินเขมรหรือไม่ก็ตายกลางทะเลในฐานะมนุษย์เรือผู้อพยพที่หนีไม่รอดนั่นเอง
ส่วนชาวบ้านชาวช่อง ตาสีตาสา คนธรรมดา สามัญชนก็ต้องอยู่เผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายร่วมกับประเทศชาติในภาวะตกต่ำสุดขีด แต่คนเหล่านี้แหละคือผู้สร้างชาติตัวจริง เขมรที่ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ อาจเป็นเพราะผู้นำส่วนหนึ่ง แต่ทรัพยากรสำคัญก็คือพวก “ฝุ่นเมือง” หรือพวก “ไพร่” ที่ไร้ที่ไปนั่นเอง พอพวกเขาได้มีโอกาสทำมาหากินตามปกติสุข เศรษฐกิจก็เดินหน้าต่อไป
นอกจากนี้เขมรยังมีทรัพยากรมากมาย มีประชากรจำนวนมากพอที่จะกลายเป็นแรงงานราคาถูกให้กับนายทุนข้ามชาติที่มาลงทุน จึงทำให้ประเทศเจริญขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด และเมื่อฝุ่นจางลงแล้ว เหล่าชาวเขมรปัญญาชน-กฎุมพีที่ตอนนี้กลายเป็นอเมริกันชนไปแล้ว ก็ได้ทีกลับมาทำมาหากินในประเทศเกิดอีกครั้งหนึ่ง
กฎุมพีเขมรเหล่านี้ก็คือ พวกชนชั้นสูงที่มีฐานะดี ผู้มีการศึกษาที่ดี รวมทั้งชนชั้นกลางที่มีโอกาสดีกว่าคนอื่น อาจกล่าวได้ว่าคนเหล่านี้จำนวนมากได้วีซ่า ได้กรีนการ์ด หรือแม้แต่ได้สัญชาติอเมริกัน ก่อนเขมรแตกจริง ๆ เสียอีก พวกนี้ไม่ได้มีส่วนสร้างชาติใด ๆ เลย อย่างไรก็ตามก็ยังมีกฎุมพีปัญญาชนส่วนหนึ่งที่มีส่วนสร้างชาติ พวกนี้คงเป็นพวกผู้มีอุดมการณ์อันแรงกล้าที่อยู่กับกลุ่มผู้นำที่ชนะจนถึงวันนี้ และไม่ได้หนีไปไหน แต่ก็ถือเป็นกฎุมพีส่วนน้อยนิด
ผมจำได้ว่าสมัยที่ผมเรียนปี 1 อยู่ธรรมศาสตร์เมื่อปี 2519 ก็ได้ข่าวว่านายแบงค์ เจ้าของกิจการใหญ่โตก็ทำวีซาเตรียมตัวหนีไปต่างประเทศเช่นกัน โชคดีที่ประเทศไทยไม่ได้ประสบชะตากรรมเลวร้ายเช่นประเทศอื่นในคาบสมุทรอินโดจีนนี้
ถ้าวันหน้าประเทศไทยเกิดสงครามกลางเมือง ผมว่าพวกกฎุมพีไทยก็คงเริ่มผ่องถ่ายขายทรัพย์สินเพื่อเตรียมตัวไปตั้งหลักแห่งอยู่เมืองนอกกันตั้งแต่เริ่มมีเค้าลางร้ายแล้ว จนเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ ประชาชนก็จะมาร่วมกันสร้างชาติขึ้นมาใหม่บนซากปรักหักพังของประเทศ
แม้ชาติจะยืนขึ้นมาใหม่ได้อย่างแน่นอน แต่ก็เสียเวลาไปอย่างน่าเสียดาย ทุกวันนี้กว่าประเทศลาว เขมร เวียดนาม พม่า จะมีระดับรายได้ประชาชาติต่อหัวเท่ากับไทย ก็คงยังกินเวลาอีกหลายปี โดยเฉพาะพม่า ที่บ้านเมืองยุ่งเหยิงก็เพราะพวกผู้ปกครองโดยแท้ ส่วนเวียดนามคงจะมีโอกาส “หายใจรดต้นคอ” ไทยในไม่ช้าเพราะความเข้มแข็งทางการเมือง ความกลมเกลียวของคนในชาติ และคุณสมบัติที่ขยัน อดทนของประชาชนนั่นเอง
ในท้ายที่สุดนี้ ผมสังหรณ์ว่าคำทำนายเขมรอาจเป็นจริง เพราะสมัยก่อนเราขัดแย้งเรื่องลัทธิการเมือง ก็ยังไม่เกิดความแตกแยกในสังคมมากเช่นทุกวันนี้ที่มีการตอกลิ่ม ใส่ร้ายป้ายสีกันมาตั้งแต่ปี 2547 จนทำให้ประชาชนที่เชื่อต่างกันรู้สึกจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้วอีกต่อไปแล้ว การแตกแยกเช่นนี้เมื่อทำให้ไทยล้าหลังลง วันหนึ่งแผ่นดินไทยก็อาจถูกแบ่งแยก เหมือนภาคใต้ที่หากวันนี้มาเลเซียยังด้อยกว่าไทยเช่นพม่าคู่อาฆาตในประวัติศาสตร์ ก็คงไม่มีปัญหา 3 จังหวัดชายแดน แต่อาจมีปัญหาการทะลักของแรงงานราคาถูกเช่นกรณีพม่าก็ได้
อย่าให้ไทยต้องเข้าสู่กลียุคเพราะสงครามกลางเมืองเลย พวกชนชั้นนำอย่ามัวเข่นฆ่าทำลายกันจนลืมคิดถึงประโยชน์ของประเทศชาติเลยครับ พวกคุณล้วนไม่ใช่เจ้าของประเทศหรือผู้สร้างชาติตัวจริง
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ