รวมเรื่องเล่าจาก ‘แนวปะทะ’
หน้า 1 จาก 1
รวมเรื่องเล่าจาก ‘แนวปะทะ’
บางคนเรียกปะทะ บางคนเรียกล้อมปราบ บางคนสูญเสียญาติมิตรเพื่อนฝูง บางคนได้รับดวงตาคู่ใหม่ บางคนสู้ขอสุดใจ บางคนแค่ต้องการป้องกันตัว มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมากมายปรากฏ ในเครือข่ายทางสังคม facebook ประชาไทขออนุญาตคัดลอกเรื่องราวและมุมมองอันน่าสนใจนำมาเผยแพร่ในที่นี้
Re: รวมเรื่องเล่าจาก ‘แนวปะทะ’
แด่สุรเฌอ
Panithita Kiatsupimon
16 พฤษภาคม 2553
หลายครั้งที่ฉันคิดว่า เขาเป็นเด็กที่ 'พ่อไม่สั่งสอน' ทำตัวน่ารำคาญ ไม่รู้จักกาละเทศะ กวนตีน และชอบเพ้อเจ้อ
ฉันเคยคิดว่าถ้าเขายังทำตัวแบบนี้ เขาคงได้ 'ตายก่อนโต'
นั่นเป็นเพราะ 'อคติ' และความ 'สองมาตรฐาน' ของตัวเองโดยแท้ (เพราะว่าเขาไม่ใช่เด็กผู้ชายที่หน้าตาดี เขาดำ เขาอ้วน เขาพูดจาตรงไปตรงมา เขาไม่ใช่เด็กเรียบร้อย มีสัมมาคาราวะ: น่าเศร้า ที่ฉันก็ติดอยู่ในมายาคติงี่เง่านั้น)
............................................................................................................................
เท่าที่จำได้ ฉันไม่เคยได้ทำอะไรดีๆ ให้น้องเลย เวลาเจอกันก็พูดจาประชดประชัน แทบจะไม่ชอบหน้าเด็กคนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เฌอก็ยังวนเวียนช่วยงานพี่ๆ อยู่เสมอ แม้จะไม่ชอบใจในความกวนตีนไม่รู้กาละเทศะของเขา แต่ฉันก็ได้รับความช่วยเหลือ ทำโน่นทำนี่จากน้องชายคนนี้เสมอ
ถึงวันนี้ฉันรู้แล้วว่าที่เขาเป็นแบบนั้น เพราะเขาโตเกินอายุ เพราะเขาถูกสอนให้มีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะเขาเป็นเด็กชายคนหนึ่งที่ต้องการ 'พื้นที่' ของตัวเอง เขามีแบบอย่างคือพี่ๆ ตะกูล 'สุระ' ทั้งหลาย (พวกเรามีชื่อนำหน้าว่า สุร ตัวพ่อคือ สุรพงษ์แมนโคตร โคตร ตามด้วย สุรเดี่ยว สุรป่าน สุรวิทย์ สุรมั้ง สุรบอย สุรแจ๊ค สุรกิ๊ สุรจุ๋ม สุรตั๊ก สุรเอกฯลฯ)
'สุรเฌอ' เป็นน้องคนสุดท้อง เขาจึงเป็นที่รักและที่ชังของพี่ๆ สุระตะกูล
เขาไม่ใช่เด็กเกเร ไม่เคยคิดร้ายกับใคร เขาเป็นเด็กผู้ชายที่กำลังเรียนรู้ 'ชีวิต' และที่เขาเป็นแบบนั้น เพราะเขาอยู่ในบรรดาคนที่เชื่อใน ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เขาเชื่อว่าเขามีสิทธิเท่าพี่ๆ คนอื่นในการที่จะคิด จะพูด และนั่นเองที่เรามองว่าเขาไม่รู้กาลเทศะ
ฉันเจอหน้าเขาครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2553 เขามาร่วมงานรำลึกผู้เสียชีวิตในการ 'ขอพื้นที่คืน' ของรัฐบาล
เขาเป็นคนปืนเอา ถุงมือยางสีขาว สัญลักษณ์ของการหยุดฆ่าประชาชนไปแขวนตรงอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็ยังคงเป็นเขาที่ช่วยงานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยง นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ของเขา
.............................................................................................................................
วันนี้เขาไม่รู้กาละเทศะจริงๆ เขาเข้าไปในพื้นที่อันตรายนั้น และเขาถูก ใครบางคนที่โหดเหี้ยมมาก ยิงจนล้มลง
รอยเลือดจากหัวของเขาเป็นทางยาว ซึ่งสันนิฐานได้ว่าเขาไม่ได้สิ้นใจในทันที เขาคงทรมานมาก ฉันไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกอย่างไร หากเรายังหายใจและชีพจรยังเต้นอยู่ แต่หัวเราเละเหมือนแตงโมที่ตกพื้น
เขานอนอยู่ตรงนั้นเกือบ 1 ชั่วโมง กว่าหน่วยกู้ภัยจะไปช่วยเอาร่างที่มีลมหายใจรวยรินออกมา เพราะทหารไม่ยอมให้ใครเข้าไปช่วย ยิงใส่ทุกคนที่จะเข้าไปช่วย หน่วยกู้ภัยที่ช่วยเขาออกมาก็เกือบถูกยิงที่แขน
หมอบอกว่าเขามาสิ้นใจที่โรงพยาบาล นั่นทำให้ฉันตกใจมากและต้องร้องไห้ออกมา เพราะเป็นเวลานานมากทีเดียวที่เฌอต้องนอนรับรู้ว่าหัวของตัวเองเละเป็นแตงโม ตกพื้น
ฉันเข้าไปหาเขาที่ห้องดับจิต เห็นเขานอนนิ่ง เปลือกตาหลับไม่สนิท เขาตัวใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ลำตัวเริ่มมีสีคล้ำ ที่เท้าของเขามีรอยเลือด มือของเขาเกร็งมาก เหมือนกำลังกำอยู่ด้วยความเครียดแค้นเจ็บปวด ที่สำคัญหัวของเขามีสำลีอุดซับเลือดอยู่
ใช่เขาแน่แล้ว... ฉันบอกตัวเอง ก่อนหน้านี้ฉันเห็นภาพคนตายใส่เสื้อสีฟ้าที่ถูกถ่ายโดยคนที่อยู่บริเวณซอย รางน้ำ รอยเลือดเป็นทางยาว มีหมวกกันน็อกข้างๆ ตอนนั้นฉันยังไม่ยากจะเชื่อว่าเป็นเขา
ฉันเคยออกปากชมเขาอย่างลับๆ กับเพื่อนสุระคนหนึ่งตอนที่เขาไปเป็นการ์ดอาสาของพันธมิตร ว่า เขาเป็นเด็กที่น่านับถือคนหนึ่ง ใจเขาทำด้วยอะไรว่ะ ทำไมเด็กอายุ 16 ถึงออกจากบ้านไปนอนกลางถนน ออกไปเป็นการ์ดปกป้องคนอื่นๆ ในที่สุดเขาถูกทำร้ายจนฟันบิ่น และเกือบจะเรียนไม่จบ ม.3
เมื่อวานเขาออกจากบ้านไป ‘ดู’ ประชาธิปไตยบนท้องถนน ไปดูสงความกลางเมือง น่าเศร้าที่กระสุนปืนไม่ดูตาม้าตาเรือ น่าเศร้าที่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่เปิดโอกาสให้เขามีลมหายใจอีกแล้ว
ระหว่างรอรับศพ ฉันออกไปหาซื้อเสื้อผ้าให้เขา คิดว่านั่นอาจเป็นสิ่งเดียวและสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำให้เขาได้ ฉันเลือกซื้อกางเกงยีนส์ เพราะพ่อเขาบอกว่า เฌอชอบใส่กางเกงยืน เลือกเสื้อตัวที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้เพราะตอนนั้นร้านที่อนุเสาวรีย์ เปิดขายอยู่ไม่กี่ร้าน ตรงสามเหลี่ยมดินแดงยังยิงกันไม่หยุด
เขาได้ ‘เปลี่ยน’ เสื้อผ้าแล้ว แต่เหตุการณ์ยังคงเหมือนเดิม ฉันรออยู่จนเขาพร้อมกลับบ้าน เข้าไปจุดธูปบอกเขา ฉันจับตัวเขาด้วย เขาใส่กางเกงยีนส์ได้พอดีเลย ตอนนี้เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย ฉันขออโหสิกรรมและบอกเขาว่า เขาคือ สรุเฌอ เขาเป็น สุระ ที่น่าภูมิใจที่สุด พวกเราภูมิใจในตัวเขา และให้เขาหลับให้สบาย
เขา คือ ‘สุรเฌอ’ หรือ น้องเฌอของพ่อเหน่ง ไอ้เหี้ยเฌอของพวกพี่ เขาคือ นายสมาพันธ์ ศรีเทพ อายุ 17 ปี ที่ได้ตายก่อนโต อย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ เพียงเพราะว่าเขาไม่รู้กาละเทศะ เพียงเพราะว่าเขาอยากรู้จักประชาธิปไตย
--------อยากรู้จักประชาธิปไตย ก็ออกไปทำความรู้จัก
--------อยากได้ประชาธิปไตย ก็ออกไปเรียกร้อง ออกไปเอามา
Panithita Kiatsupimon
16 พฤษภาคม 2553
หลายครั้งที่ฉันคิดว่า เขาเป็นเด็กที่ 'พ่อไม่สั่งสอน' ทำตัวน่ารำคาญ ไม่รู้จักกาละเทศะ กวนตีน และชอบเพ้อเจ้อ
ฉันเคยคิดว่าถ้าเขายังทำตัวแบบนี้ เขาคงได้ 'ตายก่อนโต'
นั่นเป็นเพราะ 'อคติ' และความ 'สองมาตรฐาน' ของตัวเองโดยแท้ (เพราะว่าเขาไม่ใช่เด็กผู้ชายที่หน้าตาดี เขาดำ เขาอ้วน เขาพูดจาตรงไปตรงมา เขาไม่ใช่เด็กเรียบร้อย มีสัมมาคาราวะ: น่าเศร้า ที่ฉันก็ติดอยู่ในมายาคติงี่เง่านั้น)
............................................................................................................................
เท่าที่จำได้ ฉันไม่เคยได้ทำอะไรดีๆ ให้น้องเลย เวลาเจอกันก็พูดจาประชดประชัน แทบจะไม่ชอบหน้าเด็กคนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เฌอก็ยังวนเวียนช่วยงานพี่ๆ อยู่เสมอ แม้จะไม่ชอบใจในความกวนตีนไม่รู้กาละเทศะของเขา แต่ฉันก็ได้รับความช่วยเหลือ ทำโน่นทำนี่จากน้องชายคนนี้เสมอ
ถึงวันนี้ฉันรู้แล้วว่าที่เขาเป็นแบบนั้น เพราะเขาโตเกินอายุ เพราะเขาถูกสอนให้มีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะเขาเป็นเด็กชายคนหนึ่งที่ต้องการ 'พื้นที่' ของตัวเอง เขามีแบบอย่างคือพี่ๆ ตะกูล 'สุระ' ทั้งหลาย (พวกเรามีชื่อนำหน้าว่า สุร ตัวพ่อคือ สุรพงษ์แมนโคตร โคตร ตามด้วย สุรเดี่ยว สุรป่าน สุรวิทย์ สุรมั้ง สุรบอย สุรแจ๊ค สุรกิ๊ สุรจุ๋ม สุรตั๊ก สุรเอกฯลฯ)
'สุรเฌอ' เป็นน้องคนสุดท้อง เขาจึงเป็นที่รักและที่ชังของพี่ๆ สุระตะกูล
เขาไม่ใช่เด็กเกเร ไม่เคยคิดร้ายกับใคร เขาเป็นเด็กผู้ชายที่กำลังเรียนรู้ 'ชีวิต' และที่เขาเป็นแบบนั้น เพราะเขาอยู่ในบรรดาคนที่เชื่อใน ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เขาเชื่อว่าเขามีสิทธิเท่าพี่ๆ คนอื่นในการที่จะคิด จะพูด และนั่นเองที่เรามองว่าเขาไม่รู้กาลเทศะ
ฉันเจอหน้าเขาครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2553 เขามาร่วมงานรำลึกผู้เสียชีวิตในการ 'ขอพื้นที่คืน' ของรัฐบาล
เขาเป็นคนปืนเอา ถุงมือยางสีขาว สัญลักษณ์ของการหยุดฆ่าประชาชนไปแขวนตรงอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็ยังคงเป็นเขาที่ช่วยงานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยง นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ของเขา
.............................................................................................................................
วันนี้เขาไม่รู้กาละเทศะจริงๆ เขาเข้าไปในพื้นที่อันตรายนั้น และเขาถูก ใครบางคนที่โหดเหี้ยมมาก ยิงจนล้มลง
รอยเลือดจากหัวของเขาเป็นทางยาว ซึ่งสันนิฐานได้ว่าเขาไม่ได้สิ้นใจในทันที เขาคงทรมานมาก ฉันไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกอย่างไร หากเรายังหายใจและชีพจรยังเต้นอยู่ แต่หัวเราเละเหมือนแตงโมที่ตกพื้น
เขานอนอยู่ตรงนั้นเกือบ 1 ชั่วโมง กว่าหน่วยกู้ภัยจะไปช่วยเอาร่างที่มีลมหายใจรวยรินออกมา เพราะทหารไม่ยอมให้ใครเข้าไปช่วย ยิงใส่ทุกคนที่จะเข้าไปช่วย หน่วยกู้ภัยที่ช่วยเขาออกมาก็เกือบถูกยิงที่แขน
หมอบอกว่าเขามาสิ้นใจที่โรงพยาบาล นั่นทำให้ฉันตกใจมากและต้องร้องไห้ออกมา เพราะเป็นเวลานานมากทีเดียวที่เฌอต้องนอนรับรู้ว่าหัวของตัวเองเละเป็นแตงโม ตกพื้น
ฉันเข้าไปหาเขาที่ห้องดับจิต เห็นเขานอนนิ่ง เปลือกตาหลับไม่สนิท เขาตัวใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ลำตัวเริ่มมีสีคล้ำ ที่เท้าของเขามีรอยเลือด มือของเขาเกร็งมาก เหมือนกำลังกำอยู่ด้วยความเครียดแค้นเจ็บปวด ที่สำคัญหัวของเขามีสำลีอุดซับเลือดอยู่
ใช่เขาแน่แล้ว... ฉันบอกตัวเอง ก่อนหน้านี้ฉันเห็นภาพคนตายใส่เสื้อสีฟ้าที่ถูกถ่ายโดยคนที่อยู่บริเวณซอย รางน้ำ รอยเลือดเป็นทางยาว มีหมวกกันน็อกข้างๆ ตอนนั้นฉันยังไม่ยากจะเชื่อว่าเป็นเขา
ฉันเคยออกปากชมเขาอย่างลับๆ กับเพื่อนสุระคนหนึ่งตอนที่เขาไปเป็นการ์ดอาสาของพันธมิตร ว่า เขาเป็นเด็กที่น่านับถือคนหนึ่ง ใจเขาทำด้วยอะไรว่ะ ทำไมเด็กอายุ 16 ถึงออกจากบ้านไปนอนกลางถนน ออกไปเป็นการ์ดปกป้องคนอื่นๆ ในที่สุดเขาถูกทำร้ายจนฟันบิ่น และเกือบจะเรียนไม่จบ ม.3
เมื่อวานเขาออกจากบ้านไป ‘ดู’ ประชาธิปไตยบนท้องถนน ไปดูสงความกลางเมือง น่าเศร้าที่กระสุนปืนไม่ดูตาม้าตาเรือ น่าเศร้าที่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่เปิดโอกาสให้เขามีลมหายใจอีกแล้ว
ระหว่างรอรับศพ ฉันออกไปหาซื้อเสื้อผ้าให้เขา คิดว่านั่นอาจเป็นสิ่งเดียวและสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำให้เขาได้ ฉันเลือกซื้อกางเกงยีนส์ เพราะพ่อเขาบอกว่า เฌอชอบใส่กางเกงยืน เลือกเสื้อตัวที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้เพราะตอนนั้นร้านที่อนุเสาวรีย์ เปิดขายอยู่ไม่กี่ร้าน ตรงสามเหลี่ยมดินแดงยังยิงกันไม่หยุด
เขาได้ ‘เปลี่ยน’ เสื้อผ้าแล้ว แต่เหตุการณ์ยังคงเหมือนเดิม ฉันรออยู่จนเขาพร้อมกลับบ้าน เข้าไปจุดธูปบอกเขา ฉันจับตัวเขาด้วย เขาใส่กางเกงยีนส์ได้พอดีเลย ตอนนี้เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย ฉันขออโหสิกรรมและบอกเขาว่า เขาคือ สรุเฌอ เขาเป็น สุระ ที่น่าภูมิใจที่สุด พวกเราภูมิใจในตัวเขา และให้เขาหลับให้สบาย
เขา คือ ‘สุรเฌอ’ หรือ น้องเฌอของพ่อเหน่ง ไอ้เหี้ยเฌอของพวกพี่ เขาคือ นายสมาพันธ์ ศรีเทพ อายุ 17 ปี ที่ได้ตายก่อนโต อย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ เพียงเพราะว่าเขาไม่รู้กาละเทศะ เพียงเพราะว่าเขาอยากรู้จักประชาธิปไตย
--------อยากรู้จักประชาธิปไตย ก็ออกไปทำความรู้จัก
--------อยากได้ประชาธิปไตย ก็ออกไปเรียกร้อง ออกไปเอามา
Re: รวมเรื่องเล่าจาก ‘แนวปะทะ’
จดหมายถึงน้องเฌอ
Rood Thanarak
17 พฤษภาคม 2553
สวัสดีครับน้องเฌอ
แม้เราจะไม่เคยพบหน้าพูดคุยกันสักครั้ง แต่จากจุดเชื่อมโยงที่ร้านอาหารเล็กๆแห่งนั้น พี่เชื่อว่าเราน่าจะเคยเดินสวนกันบ้าง
พี่เพิ่งอ่านข้อเขียน
“แด่ สุรเฌอ” จบลง อ่านแล้วอดไม่ได้ที่จะเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงน้องบ้าง เพราะอยากบอกอะไรบางอย่างให้น้องได้รู้ไว้
ก่อนอื่น พี่ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของน้องด้วยใจจริงนะครับ
พี่ทราบข่าวเรื่องนี้เมื่อเที่ยงวันที่ 15 พ.ค. - เพื่อนของพี่คนหนึ่งถ่ายภาพอันลือลั่นภาพนั้นในตอนเช้า เขาส่งให้พี่และสังคมได้เห็น
“ความ จริง” ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากภาพนั้นแพร่ออกไป เพื่อนคนนั้นจึงได้รู้ว่าชายในภาพคือน้องเฌอ ซึ่งก็เป็นคนกันเองกับผู้ถ่ายภาพ
เหตุการณ์นี้ทำเอาใครที่รู้ข่าวอดช็อกและเศร้าไม่ได้
แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น พี่เองก็พึ่งจะมารู้จากข้อเขียนข้างบนนี้ว่า ณ วินาทีนั้น น้องยังไม่ได้จากพวกเราไป แต่ต้องนอนอยู่เช่นนั้นกว่าชั่วโมง
พี่เสียใจด้วยจริงๆ
………………
สิ่งที่พี่อยากเล่าให้น้องฟัง มันเกี่ยวพันกับครอบครัวของพี่เล็กน้อย
เราเป็นครอบครัวเล็กๆ อยู่กันสี่คนพ่อ แม่ ลูกชาย และลูกสาว – โดยส่วนตัวพี่จัดว่าเราเป็น “ครอบครัวการเมือง” เพราะตั้งแต่พี่จำความได้ พ่อกับแม่ก็นั่งหน้าทีวีดู “เตมีย์ใบ้” ให้สัมภาษณ์สื่อแล้ว
บ้านเราจัดเป็นพวก “เหลืองบ้าง-แดง บ้าง” ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์แต่ละครั้ง แต่ละประเด็น ว่ากันไปตามหลักการและเหตุผล แต่ที่แน่ๆ บ้านเราทุกคนมองการเมืองไทยอย่าง “ตาสว่าง” และ “มุมกว้าง” กว่าที่เห็นในทีวี
กับเรื่องราวครั้งนี้ พ่อและแม่ของพี่ค่อนข้างอคติกับคนเสื้อแดง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจในเมื่อท่านทั้งสองไม่รู้จักสื่อทางเลือก ไม่รู้จักเฟซบุ๊ก ไม่รู้จักทวิตเตอร์ ไม่รู้จักยูทูป – สื่อเดียวที่ท่านมีโอกาสเสพคือโทรทัศน์ฟรีทีวีทั้งหลาย
พ่อมองว่าเหตุการณ์ปะทะรอบนี้มีความเกี่ยวโยงกับคราว 10 เม.ย. ค่อนข้างมาก พ่อมองว่าเหตุการณ์คราวก่อนที่มีทหารระดับสูงเสียชีวิตไปทำให้ค่อนข้าง แน่ชัดว่าฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้มามือเปล่า และทำให้พ่อมองการปะทะรอบนี้เหมือนเป็นการ “ต่อสู้กันสองฝ่าย” ระหว่างกองกำลังติดอาวุธ
สารภาพตามตรง แรกเริ่มพี่ก็มีความเห็นไม่ต่างกับพ่อเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม แต่ตั้งแต่กลางวันของวันที่ 14 พ.ค.ล่วงเลยไปจนถึงกลางคืน พี่เฝ้านั่งติดตามข่าวสารจาก “สื่อทางเลือก” ทั้งหลายจึงได้พบว่านี่มันไม่ใช่การ “ต่อสู้” ของคนถือปืนสองฝ่ายเสียแล้ว แต่มันได้กลายเป็นสภาวะ “ล้อมปราบ” ของทหารรัฐบาลไทย กับผู้ชุมนุมมือเปล่า
สิ่งที่ยืนยันความคิดพี่คือ ในเวลานั้น ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 16 คน แทบทุกคนถูกยิงศีรษะ ไม่มีใครติดอาวุธ และไม่มีความสูญเสียกับฝ่ายทหารเลยสักนิด
คืนนั้น พี่เข้านอนโดยมีน้ำซึมอยู่รอบดวงตา
…………………………
หลังจากนอนน้ำตาซึมให้กับการ “ล้อมปราบ เรียงแถวฆ่า” ที่เกิดขึ้นทั้งคืน
เช้าวันที่ 15 พ.ค. พี่ตื่นขึ้นมาพบหน้าครอบครัว พวกเรายังคงดูข่าวอย่างปกติหน้าทีวี และมีมุมมองเหมือนเคยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือการ “ปะทะกันสองฝ่าย”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น พี่จึงได้พบภาพของเฌอในอินเตอร์เนตที่ส่งมาจากตัวผู้ถ่ายภาพโดยตรง
สิ่งแรกที่พี่ทำคือยกโน้ตบุ๊กทั้งเครื่องเดินลงมาชั้นล่างขณะที่ครอบครัว กำลังนั่งกินข้าวดูข่าวกันอยู่
พี่เรียกพ่อ แม่ น้องสาว มานั่งรวมกัน พร้อมกับเปิดภาพอันน่าเศร้าของน้องให้ทุกคนดูกันจากจอของโน้ตบุ๊ก
พี่พูดว่า
“พ่อดูสิ !! โลกมันไปไหนกันแล้ว แต่รัฐบาลแม่งก็ยังปิดสื่อเหมือนเมื่อสามสิบปีก่อน สื่อที่พึ่งพาได้วันนี้คือสื่อทางเลือก ไม่ใช่ไอ้ทีวีช่อง 11 หรือ TPBS เนี่ย
พ่อดูรูปนี้แล้วเห็นมั๊ย เห็นชัดๆว่านี่มันไม่ใช่การสู้กันระหว่างปืนกับปืน เห็นมั๊ย ไหนวะผู้ก่อการร้าย ไหนอ่ะกองกำลังติดอาวุธ
คนตายนี่มันคนธรรมดากันทั้งนั้นนะ นี่เพื่อนถ่ายส่งมาให้เองเลย มันคือของจริง เรื่องจริง มันคือการ “ล้อมปราบ เรียงแถวฆ่า” โดยทหาร สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จนถึงตอนนี้ มันไม่ต่างอะไรกับ 14 ตุลา ที่พ่อก็เคยผ่านมา เห็นมั๊ย?”
พ่อเหลือบดูภาพของเฌอแล้วเงียบไปเกือบครึ่งนาที - สีหน้าพ่อเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“อือ ...”
พ่อพูดเพียงแค่นี้ ทำสีหน้าเหมือนได้เจอสิ่งคุ้นเคย
พ่อไม่พูดอะไรอีก
แม่ไม่พูดอะไรอีก
น้องสาวไม่พูดอะไรอีก
พี่เอง ก็ไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มอีก
จากวินาทีนั้นที่ทุกคนได้เห็นภาพของเฌอ ครอบครัวเราก็เข้าใจแล้วว่าจริงๆมันเกิดอะไรขึ้นบนถนนข้างนอกนั่น
จนถึงวันนี้ พ่อดูทีวีด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยฟังก็เลิกฟัง จากที่เคยด่าก็ไม่ด่า จากที่เคยเห็นด้วย หลายครั้งกลับด่า
เราเลิกด่าแล้วว่าเสื้อแดงมีปืนหรือไม่ หรือทำไมต้องเผายาง เพราะเมื่อเราเปลี่ยนมุมมองต่อเหตุการณ์ เราก็เข้าใจมันมากขึ้นทันที เป็นพี่ อย่าว่าแต่ปืนเลย โดนทหารล้อมปราบมีอะไรในมือพี่ก็ใช้ทั้งนั้นแหละ
ใช่ครับ
– ภาพอันน่าสลดของเฌอ ทำให้ครอบครัวเรา “ตื่น” ขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ
……………………
เพราะเราไม่รู้จักกัน พี่เลยไม่รู้ว่าโตขึ้นเฌอตั้งใจจะเป็นอะไร
เป็นนักข่าวเป็นนักหนังสือพิมพ์ เป็นตากล้อง เป็นฝ่ายศิลป์ หรือเป็นนักเขียน
น่าเสียดายที่เฌอไม่มีโอกาสจะเติบโตไปมากกว่านี้ ไปตามฝันของตนเองได้ไกลกว่านี้ แต่บอกตามตรง ในฐานะคนที่อยู่บนโลกนี้มานานกว่าเฌอ พี่อยากบอกว่าเฌอจงดีใจเถิดที่ได้จากโลกนี้ไปก่อนพวกเรา จากโลกอันโหดร้าย จากโลกอันป่าเถื่อน จากโลกอันไร้แก่นสารใบนี้ไปเสียได้
พูดตามตรง ยิ่งอยู่ไปนานๆ พี่กลับอยากอยูในโลกห่วยๆใบนี้น้อยลงเรื่อยๆ
พี่อยากบอกเฌอว่า - แม้เฌอจะจากไปแล้ว แต่การจากไปของเฌอได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอันสำคัญในครอบครัวเล็กๆของพี่ และพี่ก็เชื่อด้วยว่ามันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับคนอีกมาก ไม่เฉพาะแต่ครอบครัวพี่เท่านั้น
แม้ช่วงเวลา 17 ปีที่เฌออยู่บนโลกนี้ จะดูสั้นมากเมื่อเทียบกับใครหลายคน แต่โลกห่วยๆใบนี้ก็ยังมีอีกหลายคนที่ใช้ชีวิตนานกว่าเฌอหลายเท่า อยู่ไปเนิ่นนาน โดยไม่อาจสร้างสิ่งดีๆให้เกิดต่อมนุษย์ด้วยกันได้ ดังเช่นการจากไปของเฌอ
เฌอได้ทำให้พี่เห็นว่า การจากไปของหนุ่มอายุ 17 ปีนั้นสามารถสร้างสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นได้ มากกว่าชีวิตของชายแก่หลายคน
เฌอได้จากไปอย่างยิ่งใหญ่แล้วครับ จากไปอย่างดีพร้อม เหมาะสมกับการที่ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งพึงทำได้
หลับให้สบายนะครับ
แล้วเจอกันใหม่ที่ฝั่งโน้น
ปล. พี่ชั่งใจอยู่นาน ว่าจะนำรูปอันน่าหดหู่ของเฌอมาแปะไว้อีกครั้งดีหรือไม่ ท้ายสุดแล้วพี่ตัดสินใจเอามาแปะไว้อีกครั้งนะครับ เผื่อใครผ่านมาเห็นจดหมายฉบับนี้ จะได้เห็นสิ่งสุดท้ายที่เฌอได้ทิ้งไว้เตือนสติกับพวกเราถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พี่ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
Rood Thanarak
17 พฤษภาคม 2553
สวัสดีครับน้องเฌอ
แม้เราจะไม่เคยพบหน้าพูดคุยกันสักครั้ง แต่จากจุดเชื่อมโยงที่ร้านอาหารเล็กๆแห่งนั้น พี่เชื่อว่าเราน่าจะเคยเดินสวนกันบ้าง
พี่เพิ่งอ่านข้อเขียน
“แด่ สุรเฌอ” จบลง อ่านแล้วอดไม่ได้ที่จะเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงน้องบ้าง เพราะอยากบอกอะไรบางอย่างให้น้องได้รู้ไว้
ก่อนอื่น พี่ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของน้องด้วยใจจริงนะครับ
พี่ทราบข่าวเรื่องนี้เมื่อเที่ยงวันที่ 15 พ.ค. - เพื่อนของพี่คนหนึ่งถ่ายภาพอันลือลั่นภาพนั้นในตอนเช้า เขาส่งให้พี่และสังคมได้เห็น
“ความ จริง” ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากภาพนั้นแพร่ออกไป เพื่อนคนนั้นจึงได้รู้ว่าชายในภาพคือน้องเฌอ ซึ่งก็เป็นคนกันเองกับผู้ถ่ายภาพ
เหตุการณ์นี้ทำเอาใครที่รู้ข่าวอดช็อกและเศร้าไม่ได้
แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น พี่เองก็พึ่งจะมารู้จากข้อเขียนข้างบนนี้ว่า ณ วินาทีนั้น น้องยังไม่ได้จากพวกเราไป แต่ต้องนอนอยู่เช่นนั้นกว่าชั่วโมง
พี่เสียใจด้วยจริงๆ
………………
สิ่งที่พี่อยากเล่าให้น้องฟัง มันเกี่ยวพันกับครอบครัวของพี่เล็กน้อย
เราเป็นครอบครัวเล็กๆ อยู่กันสี่คนพ่อ แม่ ลูกชาย และลูกสาว – โดยส่วนตัวพี่จัดว่าเราเป็น “ครอบครัวการเมือง” เพราะตั้งแต่พี่จำความได้ พ่อกับแม่ก็นั่งหน้าทีวีดู “เตมีย์ใบ้” ให้สัมภาษณ์สื่อแล้ว
บ้านเราจัดเป็นพวก “เหลืองบ้าง-แดง บ้าง” ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์แต่ละครั้ง แต่ละประเด็น ว่ากันไปตามหลักการและเหตุผล แต่ที่แน่ๆ บ้านเราทุกคนมองการเมืองไทยอย่าง “ตาสว่าง” และ “มุมกว้าง” กว่าที่เห็นในทีวี
กับเรื่องราวครั้งนี้ พ่อและแม่ของพี่ค่อนข้างอคติกับคนเสื้อแดง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจในเมื่อท่านทั้งสองไม่รู้จักสื่อทางเลือก ไม่รู้จักเฟซบุ๊ก ไม่รู้จักทวิตเตอร์ ไม่รู้จักยูทูป – สื่อเดียวที่ท่านมีโอกาสเสพคือโทรทัศน์ฟรีทีวีทั้งหลาย
พ่อมองว่าเหตุการณ์ปะทะรอบนี้มีความเกี่ยวโยงกับคราว 10 เม.ย. ค่อนข้างมาก พ่อมองว่าเหตุการณ์คราวก่อนที่มีทหารระดับสูงเสียชีวิตไปทำให้ค่อนข้าง แน่ชัดว่าฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้มามือเปล่า และทำให้พ่อมองการปะทะรอบนี้เหมือนเป็นการ “ต่อสู้กันสองฝ่าย” ระหว่างกองกำลังติดอาวุธ
สารภาพตามตรง แรกเริ่มพี่ก็มีความเห็นไม่ต่างกับพ่อเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม แต่ตั้งแต่กลางวันของวันที่ 14 พ.ค.ล่วงเลยไปจนถึงกลางคืน พี่เฝ้านั่งติดตามข่าวสารจาก “สื่อทางเลือก” ทั้งหลายจึงได้พบว่านี่มันไม่ใช่การ “ต่อสู้” ของคนถือปืนสองฝ่ายเสียแล้ว แต่มันได้กลายเป็นสภาวะ “ล้อมปราบ” ของทหารรัฐบาลไทย กับผู้ชุมนุมมือเปล่า
สิ่งที่ยืนยันความคิดพี่คือ ในเวลานั้น ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 16 คน แทบทุกคนถูกยิงศีรษะ ไม่มีใครติดอาวุธ และไม่มีความสูญเสียกับฝ่ายทหารเลยสักนิด
คืนนั้น พี่เข้านอนโดยมีน้ำซึมอยู่รอบดวงตา
…………………………
หลังจากนอนน้ำตาซึมให้กับการ “ล้อมปราบ เรียงแถวฆ่า” ที่เกิดขึ้นทั้งคืน
เช้าวันที่ 15 พ.ค. พี่ตื่นขึ้นมาพบหน้าครอบครัว พวกเรายังคงดูข่าวอย่างปกติหน้าทีวี และมีมุมมองเหมือนเคยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือการ “ปะทะกันสองฝ่าย”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น พี่จึงได้พบภาพของเฌอในอินเตอร์เนตที่ส่งมาจากตัวผู้ถ่ายภาพโดยตรง
สิ่งแรกที่พี่ทำคือยกโน้ตบุ๊กทั้งเครื่องเดินลงมาชั้นล่างขณะที่ครอบครัว กำลังนั่งกินข้าวดูข่าวกันอยู่
พี่เรียกพ่อ แม่ น้องสาว มานั่งรวมกัน พร้อมกับเปิดภาพอันน่าเศร้าของน้องให้ทุกคนดูกันจากจอของโน้ตบุ๊ก
พี่พูดว่า
“พ่อดูสิ !! โลกมันไปไหนกันแล้ว แต่รัฐบาลแม่งก็ยังปิดสื่อเหมือนเมื่อสามสิบปีก่อน สื่อที่พึ่งพาได้วันนี้คือสื่อทางเลือก ไม่ใช่ไอ้ทีวีช่อง 11 หรือ TPBS เนี่ย
พ่อดูรูปนี้แล้วเห็นมั๊ย เห็นชัดๆว่านี่มันไม่ใช่การสู้กันระหว่างปืนกับปืน เห็นมั๊ย ไหนวะผู้ก่อการร้าย ไหนอ่ะกองกำลังติดอาวุธ
คนตายนี่มันคนธรรมดากันทั้งนั้นนะ นี่เพื่อนถ่ายส่งมาให้เองเลย มันคือของจริง เรื่องจริง มันคือการ “ล้อมปราบ เรียงแถวฆ่า” โดยทหาร สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จนถึงตอนนี้ มันไม่ต่างอะไรกับ 14 ตุลา ที่พ่อก็เคยผ่านมา เห็นมั๊ย?”
พ่อเหลือบดูภาพของเฌอแล้วเงียบไปเกือบครึ่งนาที - สีหน้าพ่อเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“อือ ...”
พ่อพูดเพียงแค่นี้ ทำสีหน้าเหมือนได้เจอสิ่งคุ้นเคย
พ่อไม่พูดอะไรอีก
แม่ไม่พูดอะไรอีก
น้องสาวไม่พูดอะไรอีก
พี่เอง ก็ไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มอีก
จากวินาทีนั้นที่ทุกคนได้เห็นภาพของเฌอ ครอบครัวเราก็เข้าใจแล้วว่าจริงๆมันเกิดอะไรขึ้นบนถนนข้างนอกนั่น
จนถึงวันนี้ พ่อดูทีวีด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยฟังก็เลิกฟัง จากที่เคยด่าก็ไม่ด่า จากที่เคยเห็นด้วย หลายครั้งกลับด่า
เราเลิกด่าแล้วว่าเสื้อแดงมีปืนหรือไม่ หรือทำไมต้องเผายาง เพราะเมื่อเราเปลี่ยนมุมมองต่อเหตุการณ์ เราก็เข้าใจมันมากขึ้นทันที เป็นพี่ อย่าว่าแต่ปืนเลย โดนทหารล้อมปราบมีอะไรในมือพี่ก็ใช้ทั้งนั้นแหละ
ใช่ครับ
– ภาพอันน่าสลดของเฌอ ทำให้ครอบครัวเรา “ตื่น” ขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ
……………………
เพราะเราไม่รู้จักกัน พี่เลยไม่รู้ว่าโตขึ้นเฌอตั้งใจจะเป็นอะไร
เป็นนักข่าวเป็นนักหนังสือพิมพ์ เป็นตากล้อง เป็นฝ่ายศิลป์ หรือเป็นนักเขียน
น่าเสียดายที่เฌอไม่มีโอกาสจะเติบโตไปมากกว่านี้ ไปตามฝันของตนเองได้ไกลกว่านี้ แต่บอกตามตรง ในฐานะคนที่อยู่บนโลกนี้มานานกว่าเฌอ พี่อยากบอกว่าเฌอจงดีใจเถิดที่ได้จากโลกนี้ไปก่อนพวกเรา จากโลกอันโหดร้าย จากโลกอันป่าเถื่อน จากโลกอันไร้แก่นสารใบนี้ไปเสียได้
พูดตามตรง ยิ่งอยู่ไปนานๆ พี่กลับอยากอยูในโลกห่วยๆใบนี้น้อยลงเรื่อยๆ
พี่อยากบอกเฌอว่า - แม้เฌอจะจากไปแล้ว แต่การจากไปของเฌอได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอันสำคัญในครอบครัวเล็กๆของพี่ และพี่ก็เชื่อด้วยว่ามันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับคนอีกมาก ไม่เฉพาะแต่ครอบครัวพี่เท่านั้น
แม้ช่วงเวลา 17 ปีที่เฌออยู่บนโลกนี้ จะดูสั้นมากเมื่อเทียบกับใครหลายคน แต่โลกห่วยๆใบนี้ก็ยังมีอีกหลายคนที่ใช้ชีวิตนานกว่าเฌอหลายเท่า อยู่ไปเนิ่นนาน โดยไม่อาจสร้างสิ่งดีๆให้เกิดต่อมนุษย์ด้วยกันได้ ดังเช่นการจากไปของเฌอ
เฌอได้ทำให้พี่เห็นว่า การจากไปของหนุ่มอายุ 17 ปีนั้นสามารถสร้างสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นได้ มากกว่าชีวิตของชายแก่หลายคน
เฌอได้จากไปอย่างยิ่งใหญ่แล้วครับ จากไปอย่างดีพร้อม เหมาะสมกับการที่ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งพึงทำได้
หลับให้สบายนะครับ
แล้วเจอกันใหม่ที่ฝั่งโน้น
ปล. พี่ชั่งใจอยู่นาน ว่าจะนำรูปอันน่าหดหู่ของเฌอมาแปะไว้อีกครั้งดีหรือไม่ ท้ายสุดแล้วพี่ตัดสินใจเอามาแปะไว้อีกครั้งนะครับ เผื่อใครผ่านมาเห็นจดหมายฉบับนี้ จะได้เห็นสิ่งสุดท้ายที่เฌอได้ทิ้งไว้เตือนสติกับพวกเราถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พี่ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
Re: รวมเรื่องเล่าจาก ‘แนวปะทะ’
เรื่องเล่าของลุงน้อย ดินแดง
สมบัติ บุญงามอนงค์
17 พฤษภาคม 2553
ลุงน้อยเป็นเจ้าของรถขายผลไม้ที่ถูกดัดแปลงมาเป็น เวทีชั่วคราว เพราะบนหลังคารถแกมีลำโพงขนาดเล็ก ถ้าเราเห็นรถผลไม้หรือรถกับข้าวที่วิ่งเข้าไปในซอยแล้วหมาชอบหอน นั้นแหละรถกระบะของลุงน้อย
วันนี้กระบะหลังรถของลุงน้อยไม่มีผลไม้หรือสินค้าอะไร ลุงมาที่ดินแดนเพราะลุงดูทีวีแล้วสื่อบอกว่า ประชาชนทำร้ายทหาร แต่ลุงได้ยินว่าประชาชนถูกฆ่าตาย ลุงน้อยมาที่ดินแดนได้สองวันแล้ว หน้าตาแกอ่อนเพลียรจนเห็นได้ชัด เสียงก็แหบแห้งจนแทบฟังไม่รุ้เรื่อง
ก่อนที่รถเครื่องหกล้อซึ่งเป็นรถเครื่องเสียงใหญ่จะมา รถของลุงเปรียบเสมือนเวทีปราศรัยทางการเมืองที่ตรึงคนที่กระจัดกระจายมารวม กันเป็นกลุ่ม เพื่อมิให้ประชาชนวิ่งเข้าไปในแนวปะทะแล้วทำให้เกิดการล้มตายเหมือนสองสาม วันที่ผ่านมา
เมื่อเวทีใหญ่และเครื่องเสียตั้งขึ้น ลุงแกบอกว่า แกจะวิ่งเข้าไปที่แนวปะทะ ผมดึงแกไว้ กอดแกว่า ลุงอย่าไปเลย ตรงนั้นมันอันตราย ลุงบอกลุงไม่กลัวตาย ลุงไปตะโกนด่าทหารมันสองวันแล้ว ลุงพร้อมให้มันยิงใส่ร่างของลุง
ผมและเพื่อนอีกคนเกลี่ยกล่อมแกสักระยะหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าแกจะสงบลงได้ แล้วก็นิ่งไป แต่สักสิบนาทีรถผลไม้คู่ชีพของแกก็ขับแล่นผ่านสายตาของผม ตรงไปยังแนวปะทะ ตั้งแต่สี่โมงเย็น แล้วผมก็ไม่ได้เห็นลุงน้อยกลับออกมาอีกเลย
ผมไม่รู้หรอกว่า ชะตากรรมของแกเป็นอย่างหลังจากนั้น แต่มันทำให้ผมนึกถึงลุงนวมทอง ไพรวัลย์ เท็กซี๋วีรชนที่ขับชนรถถังตอนรัฐประหาร 19 กย คนแก่คนหนึ่ง คงไม่มีปัญญาไปปรบมือสู้รบกับใคร เขาเพียงแต่พิจารณาตนเองแล้วว่า เขาพร้อมจะจัดการนำพาเวลาในชีวิตที่หลงเหลืออยู่เพื่อแลกหรือต้องการสื่อสาร อะไร เขาอาจไม่ได้ต้องการคำตอบจากผู้หนึ่งผู้ใด แต่เขาต้องตอบคำถามตัวเองว่า เขาจะทำอย่างไรต่อความอยุติธรรมที่อยู่เบื้องหลังนี้
ผมกลับจากเวทีตอนเกือบตีสี่ อาบน้ำและตั้งใจจะเขียนบันทึกเรื่องที่สะเทือนใจที่สุดของผมในวันนี้
อยากบอกลุงน้อยว่า แม้คนอื่นอาจไม่เข้าใจสิ่งที่ลุงคิด แต่ผมเข้าใจสิ่งที่ลุงตัดสินใจ ขอให้ลุงโชคดีครับ
ตีสี่สิบห้านาที
วันที่ 17 พค 53
สมบัติ บุญงามอนงค์
17 พฤษภาคม 2553
ลุงน้อยเป็นเจ้าของรถขายผลไม้ที่ถูกดัดแปลงมาเป็น เวทีชั่วคราว เพราะบนหลังคารถแกมีลำโพงขนาดเล็ก ถ้าเราเห็นรถผลไม้หรือรถกับข้าวที่วิ่งเข้าไปในซอยแล้วหมาชอบหอน นั้นแหละรถกระบะของลุงน้อย
วันนี้กระบะหลังรถของลุงน้อยไม่มีผลไม้หรือสินค้าอะไร ลุงมาที่ดินแดนเพราะลุงดูทีวีแล้วสื่อบอกว่า ประชาชนทำร้ายทหาร แต่ลุงได้ยินว่าประชาชนถูกฆ่าตาย ลุงน้อยมาที่ดินแดนได้สองวันแล้ว หน้าตาแกอ่อนเพลียรจนเห็นได้ชัด เสียงก็แหบแห้งจนแทบฟังไม่รุ้เรื่อง
ก่อนที่รถเครื่องหกล้อซึ่งเป็นรถเครื่องเสียงใหญ่จะมา รถของลุงเปรียบเสมือนเวทีปราศรัยทางการเมืองที่ตรึงคนที่กระจัดกระจายมารวม กันเป็นกลุ่ม เพื่อมิให้ประชาชนวิ่งเข้าไปในแนวปะทะแล้วทำให้เกิดการล้มตายเหมือนสองสาม วันที่ผ่านมา
เมื่อเวทีใหญ่และเครื่องเสียตั้งขึ้น ลุงแกบอกว่า แกจะวิ่งเข้าไปที่แนวปะทะ ผมดึงแกไว้ กอดแกว่า ลุงอย่าไปเลย ตรงนั้นมันอันตราย ลุงบอกลุงไม่กลัวตาย ลุงไปตะโกนด่าทหารมันสองวันแล้ว ลุงพร้อมให้มันยิงใส่ร่างของลุง
ผมและเพื่อนอีกคนเกลี่ยกล่อมแกสักระยะหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าแกจะสงบลงได้ แล้วก็นิ่งไป แต่สักสิบนาทีรถผลไม้คู่ชีพของแกก็ขับแล่นผ่านสายตาของผม ตรงไปยังแนวปะทะ ตั้งแต่สี่โมงเย็น แล้วผมก็ไม่ได้เห็นลุงน้อยกลับออกมาอีกเลย
ผมไม่รู้หรอกว่า ชะตากรรมของแกเป็นอย่างหลังจากนั้น แต่มันทำให้ผมนึกถึงลุงนวมทอง ไพรวัลย์ เท็กซี๋วีรชนที่ขับชนรถถังตอนรัฐประหาร 19 กย คนแก่คนหนึ่ง คงไม่มีปัญญาไปปรบมือสู้รบกับใคร เขาเพียงแต่พิจารณาตนเองแล้วว่า เขาพร้อมจะจัดการนำพาเวลาในชีวิตที่หลงเหลืออยู่เพื่อแลกหรือต้องการสื่อสาร อะไร เขาอาจไม่ได้ต้องการคำตอบจากผู้หนึ่งผู้ใด แต่เขาต้องตอบคำถามตัวเองว่า เขาจะทำอย่างไรต่อความอยุติธรรมที่อยู่เบื้องหลังนี้
ผมกลับจากเวทีตอนเกือบตีสี่ อาบน้ำและตั้งใจจะเขียนบันทึกเรื่องที่สะเทือนใจที่สุดของผมในวันนี้
อยากบอกลุงน้อยว่า แม้คนอื่นอาจไม่เข้าใจสิ่งที่ลุงคิด แต่ผมเข้าใจสิ่งที่ลุงตัดสินใจ ขอให้ลุงโชคดีครับ
ตีสี่สิบห้านาที
วันที่ 17 พค 53
Re: รวมเรื่องเล่าจาก ‘แนวปะทะ’
ถึง 'ป้าคนนั้น' ที่ราชประสงค์
Kant Tassanaphak
16 พฤษภาคม 2553
ปลายเดือนที่แล้ว กลางดึกของคืนที่กลิ่นการล้อมปราบเข้มคาว ป้าอายุใกล้เจ็ดสิบเดินงกๆ เงิ่นๆ แหวกคนเข้ามานั่งชุมนุม ก่อนจะล้วงเอาถุงหนังสะติ๊กและลูกแก้วที่ซ่อนไว้ในอกเสื้อออกมาอวดเพื่อน ซึ่งส่วนใหญ่วัยใกล้เคียงกันอย่างดีใจ
พอผมรีบเข้าไปห้าม - พร้อมสำทับด้วยถ้อยประกาศเกี่ยวกับ
'อาวุธ' ของแกนนำ - ป้าแกก็ละล่ำละลักบอกว่า
"แต่ป้าไม่ได้จะเอามายิงใครจริงๆ นะลูก ทหารมันจะบุกคืนนี้ ป้าไปหามาไว้ป้องกันพวกเรา"
ผมไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะใครที่ไหนก็รู้ว่าถ้าทหารเข้ามา "ขอคืนพื้นที่" (ศัพท์ในตอนนั้น) จริงๆ หนังสะติ๊กกี่ร้อยกี่พันอันก็ป้องกันป้าและเพื่อนไม่ได้ เลยตัดสินใจโพล่งสวนอย่างเหลืออดออกไปว่า
"ไม่ต้องเลยป้า! ขนาดมีแต่มือเปล่าๆ เขายังว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ถ้าเขามาเห็นมีหนังสะติ๊กทีนี้ป้าจะเป็นอะไร"
ได้ผล ป้าหน้าซีดอ้าปากค้างเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังทำผิดมหันต์ ก่อนรีบทำตามคำเตือนอย่างเร่งรีบจนถุงที่หอบมาฉีกขาด ลูกแก้วเกลื่อนกระจาย....
ตอนนี้ คืนนี้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าป้ากำลังอยู่ตรงไหน ได้แต่ภาวนาว่า หนังสะติ๊กและลูกแก้วพวกนั้น - ถ้าป้ายังไม่ทิ้งมันไป - จะช่วยป้าให้ปลอดภัยจากความโหดร้ายของมนุษย์อีกพวกหนึ่งได้
.....
ตีสี่ครึ่ง-ย่ำรุ่งวันที่สามของการล้อมปราบ
เครียด ประสาทกิน รู้สึกหมดปัญญาจะทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้นอีก
ใครนึกออกช่วยบอกเอาบุญที
Kant Tassanaphak
16 พฤษภาคม 2553
ปลายเดือนที่แล้ว กลางดึกของคืนที่กลิ่นการล้อมปราบเข้มคาว ป้าอายุใกล้เจ็ดสิบเดินงกๆ เงิ่นๆ แหวกคนเข้ามานั่งชุมนุม ก่อนจะล้วงเอาถุงหนังสะติ๊กและลูกแก้วที่ซ่อนไว้ในอกเสื้อออกมาอวดเพื่อน ซึ่งส่วนใหญ่วัยใกล้เคียงกันอย่างดีใจ
พอผมรีบเข้าไปห้าม - พร้อมสำทับด้วยถ้อยประกาศเกี่ยวกับ
'อาวุธ' ของแกนนำ - ป้าแกก็ละล่ำละลักบอกว่า
"แต่ป้าไม่ได้จะเอามายิงใครจริงๆ นะลูก ทหารมันจะบุกคืนนี้ ป้าไปหามาไว้ป้องกันพวกเรา"
ผมไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะใครที่ไหนก็รู้ว่าถ้าทหารเข้ามา "ขอคืนพื้นที่" (ศัพท์ในตอนนั้น) จริงๆ หนังสะติ๊กกี่ร้อยกี่พันอันก็ป้องกันป้าและเพื่อนไม่ได้ เลยตัดสินใจโพล่งสวนอย่างเหลืออดออกไปว่า
"ไม่ต้องเลยป้า! ขนาดมีแต่มือเปล่าๆ เขายังว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ถ้าเขามาเห็นมีหนังสะติ๊กทีนี้ป้าจะเป็นอะไร"
ได้ผล ป้าหน้าซีดอ้าปากค้างเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังทำผิดมหันต์ ก่อนรีบทำตามคำเตือนอย่างเร่งรีบจนถุงที่หอบมาฉีกขาด ลูกแก้วเกลื่อนกระจาย....
ตอนนี้ คืนนี้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าป้ากำลังอยู่ตรงไหน ได้แต่ภาวนาว่า หนังสะติ๊กและลูกแก้วพวกนั้น - ถ้าป้ายังไม่ทิ้งมันไป - จะช่วยป้าให้ปลอดภัยจากความโหดร้ายของมนุษย์อีกพวกหนึ่งได้
.....
ตีสี่ครึ่ง-ย่ำรุ่งวันที่สามของการล้อมปราบ
เครียด ประสาทกิน รู้สึกหมดปัญญาจะทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้นอีก
ใครนึกออกช่วยบอกเอาบุญที
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ