เบื้องหลังฉากเลือด พค.ทมิฬ
2 posters
หน้า 1 จาก 1
เบื้องหลังฉากเลือด พค.ทมิฬ
เบื้องหลังฉากเลือด พ.ค.ทมิฬ "53 "มาร์ค" 100 ศพ ล้างเผ่าพันธุ์ "แดง" นักฆ่าลอยฟ้ากับฮีโร่ ของ ปชป.
มติชนสุดสัปดาห์
ไม่ใช่เรื่องเกินคาดที่กองทัพจะเข้าสลายการชุมนุมของคน เสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อแผนโรดแม็ปของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกล้มเลิกไม่ใช่เรื่องเกินคาด ที่จะเกิดปฏิบัติการยึดราชประสงค์ หลังจากที่ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แม่ทัพแดงผู้คุมกองกำลังติดอาวุธและผู้วางแผนยุทธวิธีสู้ ตายสนิท หลังจากที่ถูกยิงเมื่อ 13 พฤษภาคม แล้วนอนไอซียูนาน 82 ช.ม.
ไม่ใช่เรื่องเกินคาดที่ยุทธการยึดราชประสงค์ จะสำเร็จราบรื่นง่ายดาย เพราะไม่มี "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" หรือไอ้โม่งดำเจ้าเก่าเมื่อ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัว แหวกวงล้อมทหารออกปฏิบัติการโจมตีทหารในยามค่ำคืน ระหว่างยุทธการปิดล้อมเต็มรูปแบบได้แต่ที่เกินคาด ก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หักหลัง ทั้งประธานวุฒิสภาและกลุ่ม ส.ว. ที่อาสาเป็นตัวกลางเจรจากับแกนนำ นปช. ด้วยการสั่งทหารลุยปราบม็อบแดง หลังจากที่แสดงทีท่าและวาจาบางประโยค ที่ทำให้ฝ่าย ส.ว. คิดว่าพร้อมเจรจาด้วย แค่ไม่กี่ชั่วโมงรุ่งสางของวันพุธที่ 19 พฤษภาคม วันที่ใครๆ คิดว่าบ้านเมืองมีทางออก เพื่อลดความสูญเสีย กลับกลายเป็นวันมหาวิปโยคนองเลือด ทั้ง นายประสบสุข บุญเดช และเสธ.อู้ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช หน้าแตกยับเยิน
จาก "พฤษภาทมิฬ 2535" มาสู่ "พฤษภาทมิฬ 2553" ฉากเลือดที่ทำให้ทหารด้วยกันเองตกตะลึง
เพราะ กลางดึกคืนวัน 18 พฤษภาคม นายอภิสิทธิ์ประกาศกร้าวกลางวงขุนทหารที่แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ว่า "การเจรจาจบไปนานแล้ว" อันหมายถึงการเดินหน้ายุทธการ "ยึดราชประสงค์ 53" ตามแผนเดิมที่ได้หารือกันอย่างลับๆ มาแล้ว 2 วัน แม้ขุนทหารส่วนหนึ่งอยากให้ท่านผู้นำลองอีกสักครั้งไม่เสียหลาย การเจรจาเริ่มต้นขึ้นได้เสมอ ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง กระตุ้นให้ ท่านผู้นำตัดสินใจ ด้วยเพราะกำลังทหารและแผนทั้งหมดพร้อม 100% ที่จะเข้าปฏิบัติการแล้ว เพราะถ้าเลยวันดีเดย์ 19 พฤษภาคม ออกไปอีก ก็จะเสียจังหวะ เพราะกว่าที่จะพร้อมต้องใช้เวลาและวงรอบ หลังการสับเปลี่ยนกำลังทหารให้สดชื่น และชินกับพื้นที่ปฏิบัติการรวมถึงการประสานของหน่วยกำลังต่างๆ ทั้งกำลังหลัก 3 กองพล คือ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ที่บทหนักสุด บุกตะลุยสวนลุมพินี ด่านศาลาแดง ซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นของ เสธ.แดง กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) บุกด้านเพลินจิต ชิดลม และกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) บุกเข้าทางปทุมวัน
รวมถึง หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ของรบพิเศษ และคอมมานโดของอากาศโยธิน (อย.) กองทัพอากาศ ที่ต้องประสานกับรถไฟลอยฟ้าบีทีเอสให้หยุดเดินรถ เพราะต้อง "ปฏิบัติการลอยฟ้า" ขึ้นไปเดินเท้าบนรางรถไฟฟ้าเพื่อเข้าโจมตีจากหลายจุด เพื่อปลิดชีพคนหัวใจแดง แต่ฉาบหน้าด้วยหน้าที่ระวังป้องกัน กำลังทางพื้นราบที่ทหารม้าใช้รถสายพานลำเลียงพล (เอพีซี.) แบบ T85 บุกด่านหน้า โดยหน่วยรบพิเศษบนรางรถไฟฟ้าทุกจุดมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่ เวทีการชุมนุมสี่แยกราชประสงค์โดยเฉพาะที่แยกศาลาแดง จุดเข้าตีจุดใหญ่จุดแรก ที่พวกเขามีหน้าที่ยิงแล้วก็ยิงใส่กลุ่มฮาร์ดคอร์และผู้ชุมนุมเบื้องล่าง ที่แม้จะถอยห่างจากแนวรั้วแนวรบก็ไม่รอด
"ผมจะไม่ให้เวลาพวกมันอีกแล้ว" คือประโยคที่ขุนทหารคาดไม่ถึงว่าจะหลุดออกมาจากปากท่านผู้นำอย่างง่ายดาย อันหมายถึงการตกลงใจส่งทหารทั้ง 112 กองร้อย หรือเกือบ 2 หมื่นคน เข้าสลายการชุมนุม ภายใต้คำสวยหรูไม่ดูรุนแรงว่า กระชับวงล้อมพื้นที่การชุมนุมเรื่องที่เกินคาด จนทหารเองก็แปลกประหลาดใจ ตรงที่ ปฏิบัติการนี้สุดแสนจะง่ายดาย สำเร็จอย่างราบรื่น เพราะแม้จะมีการตอบโต้จากกองกำลังติดอาวุธ ทั้งปืนสั้น ปืนเอ็ม 16 หรือเอ็ม 79 แต่ก็ไม่ระคายผิวทหารแม้แต่น้อย เพราะมีแค่กลุ่มการ์ด นปช. ที่เคยได้แต่เดินกร่าง ยิงปืนได้ แต่ไม่เป็นยุทธวิธีทางทหาร และพวกเสื้อแดงที่บ้าระห่ำใช้หนังสติ๊ก ระเบิดเพลิง สู้กับลูกปืนของทหาร จนต้องร่วงผล็อย นอนตายข้างถนนอย่างไร้ค่าอีกทั้ง กองกำลังติดอาวุธและฮาร์ดคอร์ที่เคยมีอยู่ ก็ได้กระจายกำลังออกไปต่อสู้กับทหารที่ชายแดนรอบนอกหลายจุด ทั้งบ่อนไก่ พระราม 4 สามย่าน ดินแดง ประตูน้ำ ราชปรารภ รางน้ำ จนเจ็บตายกันไปเยอะ ที่เหลือก็กลับเข้ามาพื้นที่วงในหัวใจสำคัญที่ราชประสงค์ไม่ได้ เพราะมีทหารอุดไว้หมดแถมทั้งบทเรียนจาก 10 เมษายนที่ทหารพ่ายแพ้ ทำให้ ศอฉ. ไฟเขียวให้ยิงด้วยกระสุนจริงได้เมื่อเห็นตัว โดยไม่ต้องสนว่า มันจะมีอาวุธอยู่ในมือหรือไม่
ถ้าจะพูดกันตรงๆ สำหรับทหารแล้ว มันมันมือนะที่ได้ยิงกระสุนจริง แถมเป้าวิ่ง คนจริงๆ ชีวิตจริงๆ ได้อารมณ์มากกว่า ยิงเป้ากระดาษ หรือยิงกระสุนซ้อม หรือใช้ปากตะโกน "ปังๆ ๆ" ในตอนฝึกซ้อมรบเยอะเลย ร่วงเห็นๆ เลือดกระจาย แถมยิงได้ไม่อั้นไม่ต้องกลัวเปลืองกระสุน หรือต้องคอยเก็บปลอกส่งคืนนาย มันถือเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของพวกทหารบ้าเลือดเลยทีเดียว แต่ขอแค่ว่าเมื่อถึงเวลาต้องสู้กับทหารเขมรขอให้ได้อย่างนี้นะไม่เชื่อก็ ต้องเชื่อ สำหรับทหารแล้วมีจำนวนไม่น้อยที่ "บอดี้เค้าต์" ไปด้วย ราวกับเป็นเกียรติประวัติในชีวิตตัวเอง โดยลืมนึกไปว่าไอ้เสื้อแดงหรือหัวใจแดงตรงหน้า มันคือคนไทย แต่ทว่า พวกเขาถูก "ตั้งโปรแกรมใส่หัว" ไว้แล้วว่า มันเป็นผู้ก่อการร้าย คิดล้มล้างสถาบันอย่าลืมว่า นายกรัฐมนตรี ประกาศ "ให้เสรีในการปฏิบัติ" แก่ทหารและหน่วยความมั่นคงอย่างเต็มที่ไว้แล้ว แม้แต่หน่วยรบพิเศษลอยฟ้าที่พร้อมบุกเข้าใจกลางการชุมนุม อันมีเป้าหมายที่แกนนำ นปช. ตัวเป้งๆกำลังทหารหลักทั้ง 3 กองพลถูกสั่งให้ เมื่อยึดแยกสารสินได้ ยังไม่บุกเข้าสี่แยกราชประสงค์ เพราะกลัวสูญเสียมาก แต่ใช้กำลังทหารกดดันเพื่อให้แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมเอง ที่ไม่ใช่แค่เพราะกลัวผู้ชุมนุมจะล้มตายกันอีกเป็นเบือ แต่ยังกลัวว่าพวกเขาเองจะเป็นเป้าของสไนเปอร์นักฆ่าลอยฟ้า ที่เคยปลิดชีพ เสธ.แดง มาแล้วด้วยนั่นเอง เพราะคำสั่งตกลงมาแล้ว
แล้วที่เกินคาดก็คือ งานนี้สำหรับทหาร สำหรับ ศอฉ. แล้ว ถือว่า "ตายน้อย" กว่าที่คาด หรือประมาณการ หรือภาษาทหารเรียกว่า "จำหน่าย" ไว้ เพราะแค่ 54 คน จากที่คาดกันไว้ว่าน่าจะเป็นหลักร้อย 200-300 คน บาดเจ็บเป็นพัน รวมทั้งหมดตั้งแต่ 10 เมษายนอีก 31 ราย ปะทะประปรายมาเรื่อยๆ อีกแค่เกือบร้อยศพเท่านั้นจึงไม่แปลกที่หลังเสร็จสิ้นยุทธการ ทั้ง นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และ ผอ.ศอฉ. และรัฐมนตรีต่างๆ จะมีเสียงชื่นชมและขอบคุณจากผู้นำ ต่อบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. และบิ๊กหนุ่ย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. ที่แม้จะกลายเป็นขุนพลมือเปื้อนเลือดไปแล้ว แต่ในฐานะผู้วางแผนยุทธการ และสั่งการทั้งหมด จนทำให้ทั้งสองเกลอเพื่อนรัก กลายเป็น "ฮีโร่" กลางใจรัฐบาล กลางใจขุนพลประชาธิปัตย์ และเป็นฮีโร่ของ ศอฉ. แต่คงเป็นตรงกันข้ามในสายตาคนเสื้อแดงด้วยเพราะ สองนายพลนี่แหละที่จะขึ้นสู่อำนาจ เคียงข้างและหนุนหลังรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในอีกไม่ช้านี้ คนหนึ่งคือ ผบ.ทบ. ที่เปี่ยมอำนาจและบารมี แถมมีอายุราชการถึงปี 2557 ส่วนอีกคนจะขึ้นเป็นเสนาธิการทหารบก เป็น เสธ.ทบ.คู่ใจ ในฐานะเพื่อนรักพร้อมด้วยแผงอำนาจเพื่อนเตรียมทหาร 12 ที่มีผลงานอันน่าภาคภูมิใจหนนี้ ขึ้นมาคุมกองทัพบก จนแทบจะจัดเก้าอี้ห้าเสือ ทบ. ไม่ลงตัว ทั้ง พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.นสศ. ที่ส่ง ฉก.90 พร้อมพลแม่นปืนหรือสไนเปอร์นับร้อยมาเป็นพระเอกในยุทธการนี้ แถมมีผลงาน "โบว์แดง" ที่เป็นที่ "รู้กัน" อีกด้วย แม้แต่ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม ที่กลายเป็นตราบาปของบิ๊กโชย พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.พล.1 รอ. ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ฝีมือของ ร.31 รอ. ลูกน้องแต่อย่างใด เพราะยังไม่ได้บุกมาถึงวัด ได้รับคำสั่งให้หยุดอยู่ที่สยามพารากอนบิ๊กเต่า พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ. ฝ่ายกิจการพลเรือน (ฝกร.) เตรียมขึ้นเป็น รอง เสธ.ทบ. ด้วยผลงานด้านปฏิบัติการจิตวิทยา และ propaganda และสงครามข่าวสารข่าวลือ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ที่ใจไม่เหลือง ดูข่าวไปอาเจียนไปบิ๊กอ้อ พล.ต.วิลาศ อรุณศรี รองแม่ทัพน้อยที่ 1 ที่คุมกำลังทหารม้า พล.ม.2 รอ.ของน้องรัก บิ๊กฟิ้งค์ พล.ต.สุรศักดิ์ บุญสิริ เป็นกำลังหลัก ลุ้นขึ้นเป็นพลโท แม่ทัพภาค 1 แทนบิ๊กอ๊อด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ ที่งานนี้หนาวๆ ร้อนๆ เพราะผลงานไม่เข้าตา พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเหตุที่เป็นทหารสายพิราบ จนถูกตวาดว่า "ถ้ามึงไม่ยิงมัน แล้วจะให้มันยิงมึงก่อนหรือไง"แม้จะเป็นน้องรักบูรพาพยัคฆ์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เพราะเขากับ พล.ท.ดาว์พงษ์ มีปัญหาทางใจกันอยู่ จึงอาจทำให้ พล.ท.คณิต พบเจอกับ "สิ่งไม่คาดฝัน" เพราะในยุทธการนี้เขาก็ถูกข้ามหัว สั่งการไปยังผู้บัญชาการกองพล โดยไม่ผ่านแม่ทัพมองออกไปข้างหน้าอีกนิด หลังการโยกย้ายทหารในเดือนกันยายนเสร็จ วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป กองทัพบก มี ผบ.ทบ. ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ เสธ.ทบ. ชื่อ พล.อ.ดาว์พงษ์ ที่ล้วนเป็นทหารขาลุย เด็ดขาด คนหนึ่งเป็นนักรบเหรียญรามาฯ ที่แม้จะมีตำนานเล่าอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นนักรบผู้หาญกล้า ความเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ กล้าได้กล้าเสียเต็มตัว ส่วนอีกคนเคยเป็นมือขวาบิ๊กตุ๋ย พล.อ.อิสระพงษ์ หนุนภักดี ในยุคพฤษภาทมิฬ เมื่อ 18 ปีที่แล้วมาก่อน มีดีกรีเป็น ผบ.ร.11 รอ. และ ผบ.พล.1 รอ.ยิ่งในสภาวะที่ นายอภิสิทธิ์ ตามล้างเผ่าพันธุ์คนเสื้อแดง ประหนึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ทั่วประเทศ หมายถอนรากถอนโคนด้วยแล้ว รับรองว่า ทบ. ในยุค "ผบ.ตู่" กับ "เสธ.หนุ่ย" ไม่มีอิดออดหรือประคองตัวแบบบิ๊กป๊อกแน่ แต่ชาติบ้านเมืองจะเป็นยังไงก็คิดกันเอาเองได้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เพื่อนรักต่างสายพันธุ์คู่นี้ ที่คนหนึ่งเป็นบูรพาพยัคฆ์ อีกคนเป็นวงศ์เทวัญ ทำไม่ได้ หรือไม่กล้าทำ หากเพื่อสกัดกั้นคนเสื้อแดงและการกลับคืนสู่อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เจ้าของฉายา "ผู้ก่อการร้ายตัวพ่อ"ใบหน้าที่สดใสของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้ง พล.ท.ดาว์พงษ์ หลังชนะสงคราม ปรากฏให้เห็นชัดเจน ต่างจาก พล.อ.อนุพงษ์ ที่เดินก้มหน้างุดๆ เช็ดเลือดที่ไหลจากมือซิบๆ และแววตาทุกข์ใจของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม
สงครามยังไม่จบ นับศพทหารได้ไม่กี่ศพ แต่ศพประชาชนนับได้ถึง 85 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2 พันคน ตั้งแต่ 10 เมษายนเรื่อยมา จนทุกวันนี้ และส่อเค้าว่ายังไม่จบง่ายๆ เพราะต้องมีการประกาศเคอร์ฟิวต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์ และคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก และเสี่ยงต่อการปะทะและสูญเสียอีกนั้น ก็อาจทำให้ นายอภิสิทธิ์ กลายเป็นนายกฯ ร้อยศพ หรือมาร์ค 100 ศพ เข้าจนได้สักวัน
แน่นอนว่า วันนี้รัฐบาล ปชป. ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ผู้มีความแข็งแกร่งและแข็งกร้าว เด็ดขาด ยิ่งกว่าบิ๊กทหาร หรือจอมพลบางคนในกองทัพ ได้เป็นผู้ชนะ แถมมีกองทัพหนุนหลัง ยอมทำตามทุกอย่างแม้แต่ต้องยิงคนไทยด้วยกันเอง ก็ยิ่งมั่นคง ใครๆ ก็ยอมสยบ ขอเป็นพรรคเป็นพวก ขอเป็นผู้ชนะด้วย ยิ่งเรื่องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ให้ลืมไปได้เลย เพราะตอนนี้ นายอภิสิทธิ์ทั้งแข็งและเป็นต่อ จนบิ๊กๆ ทหารเห็นด้วยกับฉายา "สฤษดิ์น้อย" แถมไม่มีแม้เสียงเรียกร้องความรับผิดชอบหรือสปิริตจากผู้นำออกมาเลยสักแอะ ยิ่งเมื่อเวลานี้ มี "สฤษดิ์น้อย" ถึง 2 คน รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยประชาชนเกลียดนักการเมือง ไม่น่าห่วง เพราะมันน่ารังเกียจอยู่แล้ว ทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ แต่อย่าทำให้ประชาชนเกลียดทหาร แม้จะเป็นประชาชนเสื้อแดง ผู้คิดต่าง แถมเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ ความแตกแยกยิ่งร้าวลึกที่น่าเป็นห่วงคือ คำสั่ง ศอฉ. ที่ให้ทหารในต่างจังหวัดกวาดล้างแกนนำและคนเสื้อแดง ทั้งเหนือ และโดยเฉพาะอีสาน พื้นที่ เรดโซน ที่บิ๊กกะหล่ำ พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาค 2 เพื่อน ตท.10 ของบิ๊กป๊อก เรียกแกนนำแดงและนักการเมืองในสายพรรคเพื่อไทย มารายงานตัว พร้อมสำทับด้วยประโยคสุดหนาวและน่าขนลุกที่ต้องเซ็นเซอร์เอาไว้แต่ทว่า ความเคียดแค้นเกลียดชังฝังในและรอวันปะทุไม่มีความเมตตาปรานีในสนามรบ ทั้งนักการเมืองและทหารที่อยู่ในอำนาจ ต่างมีรังสีอำมหิตแผ่ซ่าน เพราะยังมีคำสั่งให้ตามล่าตัวแกนนำที่หลบหนี โดยเฉพาะ กี้ร์ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่มีข่าวหลบไปทางเขมรบ้าง อีสานหรือแม้แต่ภาคเหนือบ้าง และแรมโบ้อีสาน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ท่ามกลางข่าวลือที่ทั้งคู่ถูก "จับตาย" ไปแล้ว แม้แต่ "เก่ง" การุณ โหสกุล ส.ส.เพื่อไทย เขตดอนเมือง นักการเมืองร่างเล็กจอมซ่า ก็อยู่ในลิสต์ และการตามล่าของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 30 คน ด้วยข้อหา "บงการเผาเมือง" จาก ศอฉ.เขมรเคยมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เขมรแดง แต่ตอนนี้ ไทยกำลังล้างบางไทยแดง โดยที่รัฐบาล ปชป. บังคับให้ทหารต้องเป็นศัตรูกับชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ปากท่านผู้นำบอกจะเยียวยา ปรองดองจนไม่อาจรู้ว่า ในอนาคตอันใกล้ ทหารจะแต่งเครื่องแบบเดินถนนได้หรือเปล่า ทั้งในกรุงเทพฯ อีสานหรือเหนือ ที่ตั้งหรือหน่วยทหาร จะกลายเป็นเป้าหมายของการถูกโจมตี และวินาศกรรม ไม่ต่างจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ตอนนี้ นายอภิสิทธิ์ ชนะแล้ว แต่ควรต้องตั้งสติใหม่ว่า ตนเองคือนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน ไม่ใช่ผู้กำลังมีชัยชนะ ที่ต้องตามล้างบางศัตรูให้ย่อยยับ จนไม่มีที่ยืน หรือว่าต้องการผลักไสให้พวกเขาเข้าป่า หรือไปจับมือกับโจรใต้ เพื่อกลับมาทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อกดดันรัฐบาล ชาติบ้านเมืองอยู่ในมือแล้วเห็นทีท่านผู้นำต้องหยุดรังสีอำมหิต หลบซ่อนแววตาแห่งชัยชนะ หยุดคำพูดเชือดเฉือน หยุดการผลักไสพวกเขาให้เป็นศัตรูถาวรด้วยคำว่า ผู้ก่อการร้าย หยุดสั่งให้ทหารตามฆ่าประชาชนต่อ หยุด ศอฉ. ยึดสื่อรัฐประชาสัมพันธ์ฝ่ายเดียว ปกปิดไม่พูดความจริง จนคนไทยแทบจะอาเจียนกับข่าวที่มอมเมา เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปราบปราม ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องหยุด และยอมแพ้ได้แล้ว แกนนำเสื้อแดงและไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลัง ก็ต้องหยุดเช่นกัน หยุดเผาเมือง หยุดลงใต้ดิน เพราะการตายจะมากขึ้น เพราะทหารจะลงไปเล่นใต้ดินด้วยเช่นกัน ฝ่ายกองทัพก็ต้องหยุดบูรพายัคฆ์ครองอำนาจ แบ่งปันอำนาจให้ทหารวงศ์เทวัญ และทหารไร้สี เยียวยาทหารแตงโม ตามความสามารถและความชอบธรรม เพื่อถอดสลักระเบิดเวลาที่จะทำให้กองทัพแตกต่อให้เกลียดคนเสื้อแดงเข้าไส้ เพราะพวกเขารักทักษิณ ศัตรูตัวฉกาจ แต่รู้หรือไม่ว่าศาสตร์เหนือศาสตร์ กลยุทธ์เหนือชั้นคือ ทำศัตรูให้เป็นมิตร อาจจะแสร้งรักและทำดีกับพวกเขาเพื่อซื้อใจ การเสแสร้ง เป็นเรื่องถนัดของนักการเมืองอยู่แล้ว อะไรๆ ก็อาจดีขึ้นสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องถือเป็นทุกข์ของผู้นำประเทศด้วย ที่ต้องรีบเยียวยาแก้ไขให้ประชาชน หากยังยืนอยู่บนเส้นชัย ก็จะไม่มีวันมองเห็นและแก้ปัญหาได้ ไหนบอกว่าประชาชนต้องมาก่อน แต่นี่ "ประชาชนต้องตายก่อน"
มติชนสุดสัปดาห์
ไม่ใช่เรื่องเกินคาดที่กองทัพจะเข้าสลายการชุมนุมของคน เสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อแผนโรดแม็ปของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกล้มเลิกไม่ใช่เรื่องเกินคาด ที่จะเกิดปฏิบัติการยึดราชประสงค์ หลังจากที่ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แม่ทัพแดงผู้คุมกองกำลังติดอาวุธและผู้วางแผนยุทธวิธีสู้ ตายสนิท หลังจากที่ถูกยิงเมื่อ 13 พฤษภาคม แล้วนอนไอซียูนาน 82 ช.ม.
ไม่ใช่เรื่องเกินคาดที่ยุทธการยึดราชประสงค์ จะสำเร็จราบรื่นง่ายดาย เพราะไม่มี "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" หรือไอ้โม่งดำเจ้าเก่าเมื่อ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัว แหวกวงล้อมทหารออกปฏิบัติการโจมตีทหารในยามค่ำคืน ระหว่างยุทธการปิดล้อมเต็มรูปแบบได้แต่ที่เกินคาด ก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หักหลัง ทั้งประธานวุฒิสภาและกลุ่ม ส.ว. ที่อาสาเป็นตัวกลางเจรจากับแกนนำ นปช. ด้วยการสั่งทหารลุยปราบม็อบแดง หลังจากที่แสดงทีท่าและวาจาบางประโยค ที่ทำให้ฝ่าย ส.ว. คิดว่าพร้อมเจรจาด้วย แค่ไม่กี่ชั่วโมงรุ่งสางของวันพุธที่ 19 พฤษภาคม วันที่ใครๆ คิดว่าบ้านเมืองมีทางออก เพื่อลดความสูญเสีย กลับกลายเป็นวันมหาวิปโยคนองเลือด ทั้ง นายประสบสุข บุญเดช และเสธ.อู้ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช หน้าแตกยับเยิน
จาก "พฤษภาทมิฬ 2535" มาสู่ "พฤษภาทมิฬ 2553" ฉากเลือดที่ทำให้ทหารด้วยกันเองตกตะลึง
เพราะ กลางดึกคืนวัน 18 พฤษภาคม นายอภิสิทธิ์ประกาศกร้าวกลางวงขุนทหารที่แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ว่า "การเจรจาจบไปนานแล้ว" อันหมายถึงการเดินหน้ายุทธการ "ยึดราชประสงค์ 53" ตามแผนเดิมที่ได้หารือกันอย่างลับๆ มาแล้ว 2 วัน แม้ขุนทหารส่วนหนึ่งอยากให้ท่านผู้นำลองอีกสักครั้งไม่เสียหลาย การเจรจาเริ่มต้นขึ้นได้เสมอ ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง กระตุ้นให้ ท่านผู้นำตัดสินใจ ด้วยเพราะกำลังทหารและแผนทั้งหมดพร้อม 100% ที่จะเข้าปฏิบัติการแล้ว เพราะถ้าเลยวันดีเดย์ 19 พฤษภาคม ออกไปอีก ก็จะเสียจังหวะ เพราะกว่าที่จะพร้อมต้องใช้เวลาและวงรอบ หลังการสับเปลี่ยนกำลังทหารให้สดชื่น และชินกับพื้นที่ปฏิบัติการรวมถึงการประสานของหน่วยกำลังต่างๆ ทั้งกำลังหลัก 3 กองพล คือ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ที่บทหนักสุด บุกตะลุยสวนลุมพินี ด่านศาลาแดง ซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นของ เสธ.แดง กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) บุกด้านเพลินจิต ชิดลม และกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) บุกเข้าทางปทุมวัน
รวมถึง หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ของรบพิเศษ และคอมมานโดของอากาศโยธิน (อย.) กองทัพอากาศ ที่ต้องประสานกับรถไฟลอยฟ้าบีทีเอสให้หยุดเดินรถ เพราะต้อง "ปฏิบัติการลอยฟ้า" ขึ้นไปเดินเท้าบนรางรถไฟฟ้าเพื่อเข้าโจมตีจากหลายจุด เพื่อปลิดชีพคนหัวใจแดง แต่ฉาบหน้าด้วยหน้าที่ระวังป้องกัน กำลังทางพื้นราบที่ทหารม้าใช้รถสายพานลำเลียงพล (เอพีซี.) แบบ T85 บุกด่านหน้า โดยหน่วยรบพิเศษบนรางรถไฟฟ้าทุกจุดมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่ เวทีการชุมนุมสี่แยกราชประสงค์โดยเฉพาะที่แยกศาลาแดง จุดเข้าตีจุดใหญ่จุดแรก ที่พวกเขามีหน้าที่ยิงแล้วก็ยิงใส่กลุ่มฮาร์ดคอร์และผู้ชุมนุมเบื้องล่าง ที่แม้จะถอยห่างจากแนวรั้วแนวรบก็ไม่รอด
"ผมจะไม่ให้เวลาพวกมันอีกแล้ว" คือประโยคที่ขุนทหารคาดไม่ถึงว่าจะหลุดออกมาจากปากท่านผู้นำอย่างง่ายดาย อันหมายถึงการตกลงใจส่งทหารทั้ง 112 กองร้อย หรือเกือบ 2 หมื่นคน เข้าสลายการชุมนุม ภายใต้คำสวยหรูไม่ดูรุนแรงว่า กระชับวงล้อมพื้นที่การชุมนุมเรื่องที่เกินคาด จนทหารเองก็แปลกประหลาดใจ ตรงที่ ปฏิบัติการนี้สุดแสนจะง่ายดาย สำเร็จอย่างราบรื่น เพราะแม้จะมีการตอบโต้จากกองกำลังติดอาวุธ ทั้งปืนสั้น ปืนเอ็ม 16 หรือเอ็ม 79 แต่ก็ไม่ระคายผิวทหารแม้แต่น้อย เพราะมีแค่กลุ่มการ์ด นปช. ที่เคยได้แต่เดินกร่าง ยิงปืนได้ แต่ไม่เป็นยุทธวิธีทางทหาร และพวกเสื้อแดงที่บ้าระห่ำใช้หนังสติ๊ก ระเบิดเพลิง สู้กับลูกปืนของทหาร จนต้องร่วงผล็อย นอนตายข้างถนนอย่างไร้ค่าอีกทั้ง กองกำลังติดอาวุธและฮาร์ดคอร์ที่เคยมีอยู่ ก็ได้กระจายกำลังออกไปต่อสู้กับทหารที่ชายแดนรอบนอกหลายจุด ทั้งบ่อนไก่ พระราม 4 สามย่าน ดินแดง ประตูน้ำ ราชปรารภ รางน้ำ จนเจ็บตายกันไปเยอะ ที่เหลือก็กลับเข้ามาพื้นที่วงในหัวใจสำคัญที่ราชประสงค์ไม่ได้ เพราะมีทหารอุดไว้หมดแถมทั้งบทเรียนจาก 10 เมษายนที่ทหารพ่ายแพ้ ทำให้ ศอฉ. ไฟเขียวให้ยิงด้วยกระสุนจริงได้เมื่อเห็นตัว โดยไม่ต้องสนว่า มันจะมีอาวุธอยู่ในมือหรือไม่
ถ้าจะพูดกันตรงๆ สำหรับทหารแล้ว มันมันมือนะที่ได้ยิงกระสุนจริง แถมเป้าวิ่ง คนจริงๆ ชีวิตจริงๆ ได้อารมณ์มากกว่า ยิงเป้ากระดาษ หรือยิงกระสุนซ้อม หรือใช้ปากตะโกน "ปังๆ ๆ" ในตอนฝึกซ้อมรบเยอะเลย ร่วงเห็นๆ เลือดกระจาย แถมยิงได้ไม่อั้นไม่ต้องกลัวเปลืองกระสุน หรือต้องคอยเก็บปลอกส่งคืนนาย มันถือเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของพวกทหารบ้าเลือดเลยทีเดียว แต่ขอแค่ว่าเมื่อถึงเวลาต้องสู้กับทหารเขมรขอให้ได้อย่างนี้นะไม่เชื่อก็ ต้องเชื่อ สำหรับทหารแล้วมีจำนวนไม่น้อยที่ "บอดี้เค้าต์" ไปด้วย ราวกับเป็นเกียรติประวัติในชีวิตตัวเอง โดยลืมนึกไปว่าไอ้เสื้อแดงหรือหัวใจแดงตรงหน้า มันคือคนไทย แต่ทว่า พวกเขาถูก "ตั้งโปรแกรมใส่หัว" ไว้แล้วว่า มันเป็นผู้ก่อการร้าย คิดล้มล้างสถาบันอย่าลืมว่า นายกรัฐมนตรี ประกาศ "ให้เสรีในการปฏิบัติ" แก่ทหารและหน่วยความมั่นคงอย่างเต็มที่ไว้แล้ว แม้แต่หน่วยรบพิเศษลอยฟ้าที่พร้อมบุกเข้าใจกลางการชุมนุม อันมีเป้าหมายที่แกนนำ นปช. ตัวเป้งๆกำลังทหารหลักทั้ง 3 กองพลถูกสั่งให้ เมื่อยึดแยกสารสินได้ ยังไม่บุกเข้าสี่แยกราชประสงค์ เพราะกลัวสูญเสียมาก แต่ใช้กำลังทหารกดดันเพื่อให้แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมเอง ที่ไม่ใช่แค่เพราะกลัวผู้ชุมนุมจะล้มตายกันอีกเป็นเบือ แต่ยังกลัวว่าพวกเขาเองจะเป็นเป้าของสไนเปอร์นักฆ่าลอยฟ้า ที่เคยปลิดชีพ เสธ.แดง มาแล้วด้วยนั่นเอง เพราะคำสั่งตกลงมาแล้ว
แล้วที่เกินคาดก็คือ งานนี้สำหรับทหาร สำหรับ ศอฉ. แล้ว ถือว่า "ตายน้อย" กว่าที่คาด หรือประมาณการ หรือภาษาทหารเรียกว่า "จำหน่าย" ไว้ เพราะแค่ 54 คน จากที่คาดกันไว้ว่าน่าจะเป็นหลักร้อย 200-300 คน บาดเจ็บเป็นพัน รวมทั้งหมดตั้งแต่ 10 เมษายนอีก 31 ราย ปะทะประปรายมาเรื่อยๆ อีกแค่เกือบร้อยศพเท่านั้นจึงไม่แปลกที่หลังเสร็จสิ้นยุทธการ ทั้ง นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และ ผอ.ศอฉ. และรัฐมนตรีต่างๆ จะมีเสียงชื่นชมและขอบคุณจากผู้นำ ต่อบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. และบิ๊กหนุ่ย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. ที่แม้จะกลายเป็นขุนพลมือเปื้อนเลือดไปแล้ว แต่ในฐานะผู้วางแผนยุทธการ และสั่งการทั้งหมด จนทำให้ทั้งสองเกลอเพื่อนรัก กลายเป็น "ฮีโร่" กลางใจรัฐบาล กลางใจขุนพลประชาธิปัตย์ และเป็นฮีโร่ของ ศอฉ. แต่คงเป็นตรงกันข้ามในสายตาคนเสื้อแดงด้วยเพราะ สองนายพลนี่แหละที่จะขึ้นสู่อำนาจ เคียงข้างและหนุนหลังรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในอีกไม่ช้านี้ คนหนึ่งคือ ผบ.ทบ. ที่เปี่ยมอำนาจและบารมี แถมมีอายุราชการถึงปี 2557 ส่วนอีกคนจะขึ้นเป็นเสนาธิการทหารบก เป็น เสธ.ทบ.คู่ใจ ในฐานะเพื่อนรักพร้อมด้วยแผงอำนาจเพื่อนเตรียมทหาร 12 ที่มีผลงานอันน่าภาคภูมิใจหนนี้ ขึ้นมาคุมกองทัพบก จนแทบจะจัดเก้าอี้ห้าเสือ ทบ. ไม่ลงตัว ทั้ง พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.นสศ. ที่ส่ง ฉก.90 พร้อมพลแม่นปืนหรือสไนเปอร์นับร้อยมาเป็นพระเอกในยุทธการนี้ แถมมีผลงาน "โบว์แดง" ที่เป็นที่ "รู้กัน" อีกด้วย แม้แต่ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม ที่กลายเป็นตราบาปของบิ๊กโชย พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.พล.1 รอ. ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ฝีมือของ ร.31 รอ. ลูกน้องแต่อย่างใด เพราะยังไม่ได้บุกมาถึงวัด ได้รับคำสั่งให้หยุดอยู่ที่สยามพารากอนบิ๊กเต่า พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ. ฝ่ายกิจการพลเรือน (ฝกร.) เตรียมขึ้นเป็น รอง เสธ.ทบ. ด้วยผลงานด้านปฏิบัติการจิตวิทยา และ propaganda และสงครามข่าวสารข่าวลือ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ที่ใจไม่เหลือง ดูข่าวไปอาเจียนไปบิ๊กอ้อ พล.ต.วิลาศ อรุณศรี รองแม่ทัพน้อยที่ 1 ที่คุมกำลังทหารม้า พล.ม.2 รอ.ของน้องรัก บิ๊กฟิ้งค์ พล.ต.สุรศักดิ์ บุญสิริ เป็นกำลังหลัก ลุ้นขึ้นเป็นพลโท แม่ทัพภาค 1 แทนบิ๊กอ๊อด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ ที่งานนี้หนาวๆ ร้อนๆ เพราะผลงานไม่เข้าตา พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเหตุที่เป็นทหารสายพิราบ จนถูกตวาดว่า "ถ้ามึงไม่ยิงมัน แล้วจะให้มันยิงมึงก่อนหรือไง"แม้จะเป็นน้องรักบูรพาพยัคฆ์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เพราะเขากับ พล.ท.ดาว์พงษ์ มีปัญหาทางใจกันอยู่ จึงอาจทำให้ พล.ท.คณิต พบเจอกับ "สิ่งไม่คาดฝัน" เพราะในยุทธการนี้เขาก็ถูกข้ามหัว สั่งการไปยังผู้บัญชาการกองพล โดยไม่ผ่านแม่ทัพมองออกไปข้างหน้าอีกนิด หลังการโยกย้ายทหารในเดือนกันยายนเสร็จ วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป กองทัพบก มี ผบ.ทบ. ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ เสธ.ทบ. ชื่อ พล.อ.ดาว์พงษ์ ที่ล้วนเป็นทหารขาลุย เด็ดขาด คนหนึ่งเป็นนักรบเหรียญรามาฯ ที่แม้จะมีตำนานเล่าอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นนักรบผู้หาญกล้า ความเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ กล้าได้กล้าเสียเต็มตัว ส่วนอีกคนเคยเป็นมือขวาบิ๊กตุ๋ย พล.อ.อิสระพงษ์ หนุนภักดี ในยุคพฤษภาทมิฬ เมื่อ 18 ปีที่แล้วมาก่อน มีดีกรีเป็น ผบ.ร.11 รอ. และ ผบ.พล.1 รอ.ยิ่งในสภาวะที่ นายอภิสิทธิ์ ตามล้างเผ่าพันธุ์คนเสื้อแดง ประหนึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ทั่วประเทศ หมายถอนรากถอนโคนด้วยแล้ว รับรองว่า ทบ. ในยุค "ผบ.ตู่" กับ "เสธ.หนุ่ย" ไม่มีอิดออดหรือประคองตัวแบบบิ๊กป๊อกแน่ แต่ชาติบ้านเมืองจะเป็นยังไงก็คิดกันเอาเองได้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เพื่อนรักต่างสายพันธุ์คู่นี้ ที่คนหนึ่งเป็นบูรพาพยัคฆ์ อีกคนเป็นวงศ์เทวัญ ทำไม่ได้ หรือไม่กล้าทำ หากเพื่อสกัดกั้นคนเสื้อแดงและการกลับคืนสู่อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เจ้าของฉายา "ผู้ก่อการร้ายตัวพ่อ"ใบหน้าที่สดใสของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้ง พล.ท.ดาว์พงษ์ หลังชนะสงคราม ปรากฏให้เห็นชัดเจน ต่างจาก พล.อ.อนุพงษ์ ที่เดินก้มหน้างุดๆ เช็ดเลือดที่ไหลจากมือซิบๆ และแววตาทุกข์ใจของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม
สงครามยังไม่จบ นับศพทหารได้ไม่กี่ศพ แต่ศพประชาชนนับได้ถึง 85 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2 พันคน ตั้งแต่ 10 เมษายนเรื่อยมา จนทุกวันนี้ และส่อเค้าว่ายังไม่จบง่ายๆ เพราะต้องมีการประกาศเคอร์ฟิวต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์ และคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก และเสี่ยงต่อการปะทะและสูญเสียอีกนั้น ก็อาจทำให้ นายอภิสิทธิ์ กลายเป็นนายกฯ ร้อยศพ หรือมาร์ค 100 ศพ เข้าจนได้สักวัน
แน่นอนว่า วันนี้รัฐบาล ปชป. ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ผู้มีความแข็งแกร่งและแข็งกร้าว เด็ดขาด ยิ่งกว่าบิ๊กทหาร หรือจอมพลบางคนในกองทัพ ได้เป็นผู้ชนะ แถมมีกองทัพหนุนหลัง ยอมทำตามทุกอย่างแม้แต่ต้องยิงคนไทยด้วยกันเอง ก็ยิ่งมั่นคง ใครๆ ก็ยอมสยบ ขอเป็นพรรคเป็นพวก ขอเป็นผู้ชนะด้วย ยิ่งเรื่องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ให้ลืมไปได้เลย เพราะตอนนี้ นายอภิสิทธิ์ทั้งแข็งและเป็นต่อ จนบิ๊กๆ ทหารเห็นด้วยกับฉายา "สฤษดิ์น้อย" แถมไม่มีแม้เสียงเรียกร้องความรับผิดชอบหรือสปิริตจากผู้นำออกมาเลยสักแอะ ยิ่งเมื่อเวลานี้ มี "สฤษดิ์น้อย" ถึง 2 คน รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยประชาชนเกลียดนักการเมือง ไม่น่าห่วง เพราะมันน่ารังเกียจอยู่แล้ว ทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ แต่อย่าทำให้ประชาชนเกลียดทหาร แม้จะเป็นประชาชนเสื้อแดง ผู้คิดต่าง แถมเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ ความแตกแยกยิ่งร้าวลึกที่น่าเป็นห่วงคือ คำสั่ง ศอฉ. ที่ให้ทหารในต่างจังหวัดกวาดล้างแกนนำและคนเสื้อแดง ทั้งเหนือ และโดยเฉพาะอีสาน พื้นที่ เรดโซน ที่บิ๊กกะหล่ำ พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาค 2 เพื่อน ตท.10 ของบิ๊กป๊อก เรียกแกนนำแดงและนักการเมืองในสายพรรคเพื่อไทย มารายงานตัว พร้อมสำทับด้วยประโยคสุดหนาวและน่าขนลุกที่ต้องเซ็นเซอร์เอาไว้แต่ทว่า ความเคียดแค้นเกลียดชังฝังในและรอวันปะทุไม่มีความเมตตาปรานีในสนามรบ ทั้งนักการเมืองและทหารที่อยู่ในอำนาจ ต่างมีรังสีอำมหิตแผ่ซ่าน เพราะยังมีคำสั่งให้ตามล่าตัวแกนนำที่หลบหนี โดยเฉพาะ กี้ร์ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่มีข่าวหลบไปทางเขมรบ้าง อีสานหรือแม้แต่ภาคเหนือบ้าง และแรมโบ้อีสาน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ท่ามกลางข่าวลือที่ทั้งคู่ถูก "จับตาย" ไปแล้ว แม้แต่ "เก่ง" การุณ โหสกุล ส.ส.เพื่อไทย เขตดอนเมือง นักการเมืองร่างเล็กจอมซ่า ก็อยู่ในลิสต์ และการตามล่าของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 30 คน ด้วยข้อหา "บงการเผาเมือง" จาก ศอฉ.เขมรเคยมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เขมรแดง แต่ตอนนี้ ไทยกำลังล้างบางไทยแดง โดยที่รัฐบาล ปชป. บังคับให้ทหารต้องเป็นศัตรูกับชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ปากท่านผู้นำบอกจะเยียวยา ปรองดองจนไม่อาจรู้ว่า ในอนาคตอันใกล้ ทหารจะแต่งเครื่องแบบเดินถนนได้หรือเปล่า ทั้งในกรุงเทพฯ อีสานหรือเหนือ ที่ตั้งหรือหน่วยทหาร จะกลายเป็นเป้าหมายของการถูกโจมตี และวินาศกรรม ไม่ต่างจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ตอนนี้ นายอภิสิทธิ์ ชนะแล้ว แต่ควรต้องตั้งสติใหม่ว่า ตนเองคือนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน ไม่ใช่ผู้กำลังมีชัยชนะ ที่ต้องตามล้างบางศัตรูให้ย่อยยับ จนไม่มีที่ยืน หรือว่าต้องการผลักไสให้พวกเขาเข้าป่า หรือไปจับมือกับโจรใต้ เพื่อกลับมาทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อกดดันรัฐบาล ชาติบ้านเมืองอยู่ในมือแล้วเห็นทีท่านผู้นำต้องหยุดรังสีอำมหิต หลบซ่อนแววตาแห่งชัยชนะ หยุดคำพูดเชือดเฉือน หยุดการผลักไสพวกเขาให้เป็นศัตรูถาวรด้วยคำว่า ผู้ก่อการร้าย หยุดสั่งให้ทหารตามฆ่าประชาชนต่อ หยุด ศอฉ. ยึดสื่อรัฐประชาสัมพันธ์ฝ่ายเดียว ปกปิดไม่พูดความจริง จนคนไทยแทบจะอาเจียนกับข่าวที่มอมเมา เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปราบปราม ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องหยุด และยอมแพ้ได้แล้ว แกนนำเสื้อแดงและไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลัง ก็ต้องหยุดเช่นกัน หยุดเผาเมือง หยุดลงใต้ดิน เพราะการตายจะมากขึ้น เพราะทหารจะลงไปเล่นใต้ดินด้วยเช่นกัน ฝ่ายกองทัพก็ต้องหยุดบูรพายัคฆ์ครองอำนาจ แบ่งปันอำนาจให้ทหารวงศ์เทวัญ และทหารไร้สี เยียวยาทหารแตงโม ตามความสามารถและความชอบธรรม เพื่อถอดสลักระเบิดเวลาที่จะทำให้กองทัพแตกต่อให้เกลียดคนเสื้อแดงเข้าไส้ เพราะพวกเขารักทักษิณ ศัตรูตัวฉกาจ แต่รู้หรือไม่ว่าศาสตร์เหนือศาสตร์ กลยุทธ์เหนือชั้นคือ ทำศัตรูให้เป็นมิตร อาจจะแสร้งรักและทำดีกับพวกเขาเพื่อซื้อใจ การเสแสร้ง เป็นเรื่องถนัดของนักการเมืองอยู่แล้ว อะไรๆ ก็อาจดีขึ้นสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องถือเป็นทุกข์ของผู้นำประเทศด้วย ที่ต้องรีบเยียวยาแก้ไขให้ประชาชน หากยังยืนอยู่บนเส้นชัย ก็จะไม่มีวันมองเห็นและแก้ปัญหาได้ ไหนบอกว่าประชาชนต้องมาก่อน แต่นี่ "ประชาชนต้องตายก่อน"
Re: เบื้องหลังฉากเลือด พค.ทมิฬ
Comment #437563 by Bor-Gor | Sun, 05/30/2010 - 16:21 | Report comment
Bor-Gor's picture
ผมเชื่อว่า ลำพังคนเสื้อแดง
ผมเชื่อว่า ลำพังคนเสื้อแดง เราไปสู้รบปรบมือกับสัตว์นรกในเครื่องแบบไม่ได้
แม้จะมุดลงใต้ดิน และหันไปใช้วิธีแบบ 3 จว ใต้ แต่ทหารก็จะมุดลงดินและใช้วิธีย้อนศรโดยไม่เลือกเช่นกัน
การยิงชาวมุสลิมตายในมัสยิด ฆ่าโต๊ะอิหม่ามผู้นำศาสนาเพื่อป้ายความผิดให้โจรใต้น่ะ เชื่อรึว่าเป็นฝีมือโจรใต้ คนในพ.ท ยังไม่เชื่อเลย ฝีมือทหารที่มุดลงดินแก้แค้นนี่แหละ
คนเสื้อแดงหรือแนวร่วมถ้าไปใช้วิธีมุดดิน มันก็จะมุดดินและอาจสร้างสถานการณ์ระเบิดที่นั่น ยิงคนที่นี่เพื่อทำให้คนไทยเกลียดชัง
มีทางเดียวที่ผมหวังไว้แม้ริบหรี่ก็คือ การเรียกร้องให้ประชาคมโลกเข้ามาตรวจสอบ เข้ามาแทรกแซงกระบวนการเลวร้ายนี้ มิให้สฤษดิ์น้อย และลูกกระจ๊อกเหลิงอำนาจ
มาร์ก และผบ.เหล่าของกองทัพเป็นมือไม้อำมาตย์ ประเทศถูกปกครองใต้อำนาจอำมาตย์ กลไกต่างๆ ในสังคมจึงเป็นอัมพาต
เราเสียเปรียบถ้าคิดจะพึ่งองค์กร และกลไกภายใน ต้ององค์กรภายนอกประเทศเท่านั้น
ถ้าเขามาตรวจสอบและผลที่ออกมาชี้เป้าไปที่อภิสิทธิ์และ แม่ทัพนายกอง ผมเชื่อเลยว่ามันก็อยู่ไม่ได้ต่อให้พระอินทร์มาอุ้มก็ไม่รอดเพราะพระอินทร์ จะถูกชาวสวรรค์เตะตูดเอา
นักปรัชญาชายขอบ : เมื่อเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ถูกฆ่าหน้าต่อตา
นักปรัชญาชายขอบ : เมื่อเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ถูกฆ่าหน้าต่อตา
Sun, 2010-05-30 13:59
นักปรัชญาชายขอบ
ไม่ว่าจะมองจากภูมิปัญญาใดในโลก เราย่อมเห็นความจริงว่า เสรีภาพ ความเป็นมนุษย์ และความเป็นสังคมอารยะ คือสิ่งดีงามที่สนับสนุนส่งเสริมกันและกัน
คานท์ (Immanuel Kant) กล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สองโลก” โลกหนึ่งคือโลกของสัญชาตญาณ และอารมณ์ความรู้สึก เมื่อมนุษย์ถูกกำกับชี้นำด้วยสัญชาตญาณและอารมณ์ความรู้สึก โลกของเขาก็ไม่ต่างจากโลกของสัตว์โดยทั่วไป อีกโลกหนึ่งคือโลกของเหตุผล เมื่อมนุษย์ถูกกำกับชี้นำโดยเหตุผล เขาจะมีเสรีภาพจากสัญชาตญาณและอารมณ์ความรู้สึก และด้วยการมีเสรีภาพดังกล่าวจึงทำให้เขาตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆอย่างมีศีลธรรม
ในทัศนะของรุสโซ (Jean-Jaques Rousseau) มนุษย์เกิดมามีเสรี หากเอาเสรีภาพของไปจากมนุษย์ เขาก็จะไม่สามารถที่จะมีการกระทำที่มีศีลธรรม และไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่เลย นิทเช (Friedrich Wilhelm Nietzsche) เห็นว่า เสรีภาพหมายถึงการมีอำนาจในการกำหนดตัวเอง วาทะที่ว่า “พระเจ้าตายแล้ว” หมายความว่า ไม่มีอำนาจอื่นใดที่จะมากำหนดชะตากรรมของมนุษย์ได้นอกเหนือจากอำนาจของมนุษย์เอง ซาตร์ (Jean-Paul Sartre) ก็เห็นว่า เสรีภาพคือ “แก่นสาร” (essence) ของความเป็นมนุษย์ ชีวิตที่มีค่าคือชีวิตที่มีความกล้าหาญในการใช้เสรีภาพที่จะเลือกและรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าถูกต้องและพึงพอใจ
ขณะที่มิลล์ (John Stuart Mill) อธิบายว่า เสรีภาพในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็น คือพื้นฐานในการแสวงหาความจริง เพราะถ้าไม่มีเสรีภาพดังกล่าวสังคมจะได้รับฟังแต่ “เสียงข้างเดียว” เมื่อมีแต่เสียงข้างเดียวก็ตัดสินถูก-ผิด จริง-เท็จ ไม่ได้ เพราะไม่สามารถเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง เหตุผล ฯลฯ จาก “เสียงที่แตกต่าง” ได้
ส่วนมาร์กซ์ (Karl Marx) เห็นว่า เสรีภาพหมายถึงเสรีภาพของสังคมที่สามารถปลดแอกตัวเองจากระบบกดขี่ต่างๆ เช่น ระบบชนชั้น ระบบการผลิตแบบนายทุน ทำให้สังคมมีอำนาจในการกำหนดตนเองให้เป็นสังคมที่มีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ และอื่นๆ
พุทธศาสนาเองก็มองว่า เสรีภาพมีสองด้านคือ ด้านหนึ่งคือความเป็นอิสระจากพันธนาการภายใน หรือเป็นอิสระจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความเกลียดชัง และความโง่เขลา อีกด้านหนึ่งคือความเป็นอิสระจากพันธนาการภายนอก เช่น ความยากจน ความเจ็บป่วย การถูกกดขี่เอาเปรียบในด้านต่างๆ
ฉะนั้น ไม่ว่าจะมองจากภูมิปัญญาใดๆก็ตาม เสรีภาพคือแก่นสารสำคัญสูงสุดที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่แท้ ทำให้สังคมเป็นสังคมอารยะ เป็นสังคมที่อยู่กันด้วยสัจจะ ศีลธรรม ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ และอื่นๆ
แต่ถึงแม้มนุษย์จะประกาศ “คุณค่า” ของเสรีภาพดังกล่าวนั้นมาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว สังคมไทยในยุคต้นศตวรรษที่ 21 ปี 2010 ยังอยู่ใน “ยุคโศกนาฏกรรมการเข่นฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์”
สังคมนี้ทนอยู่ได้อย่างไร กับการอยู่ในอำนาจต่อไปของ “รัฐบาล 86 ศพ” (ข้อมูลจากศูนย์เอราวัณ) เชื่อถือได้อย่างไรว่ารัฐบาลเช่นนี้จะนำพาประเทศไปสู่ความปรองดอง ไม่ใช่ว่าประเทศนี้ไม่ต้องการความปรองดอง แต่เราจะเชื่อถือ “รัฐบาล 86 ศพ” ได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่เขาทำมันตรงกันข้ามกันตลอดมา
เขาปรองดองด้วยการ “ฆ่าเสรีภาพ” ใช้ พรก.ฉุกเฉินปิดสื่อที่เสนอความเห็นต่าง โดยอ้างว่าสื่อเหล่านั้นบิดเบือนข้อเท็จจริง และปลุกเร้าความรุนแรง แต่ไม่ปิดสื่อฝ่ายที่สนับสนุนตนเองที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและปลุกเร้าความรุนแรงมานานยิ่งกว่า แถมยังยึด “สื่อของรัฐ” (ไม่ใช่ของรัฐบาล) เป็น “กระบอกเสียง” บิดเบือนข้อเท็จจริงและใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา
ฟรีทีวีหรือสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่ก็กลายเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล (หลังคนเสื้อแดงกลับบ้าน ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นแต่ข่าวการพื้นฟูเยียวยาชาวกรุงเทพฯ และการจะเดินหน้าแผนปรองดอง แต่ไม่มีข่าวการเยียวยา การให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิต ญาติมิตร และชะตากรรมของคนเสื้อแดง เสมือนว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่คนใน “รัฐเดียวกัน”)
นี่คือปรากฏการณ์ของการฆ่าเสรีภาพทางการพูดและการแสดงความคิดเห็น และมันทำให้ “ความจริงตายแล้ว” ตั้งนานก่อนที่จะเกิดสงครามกลางเมืองi
ไม่ต้องพูดถึงเสรีภาพที่จะมีอำนาจกำหนดชะตากรรมตัวเองของประชาชนที่ถูกทำลายไปแล้วตั้งแต่รัฐประหาร 2549 เมื่อคนเสื้อแดงกลับมาทวงคืน ผลก็คือความตายของ 86 ชีวิต และบาดเจ็บอีกเกือบสองพันคน การเผาเมือง และความแตกแยกร้าวลึกยิ่งกว่าเดิม!
คนกรุงเทพฯ ประทับใจกับ “ภาษา/วัฒนธรรมซาบซึ้ง” แบบดัดจริต เช่น “บ้านของพ่อ” (ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา แผ่นดินนี้เป็นของเราทุกคน) “ไล่พ่อออกจากบ้าน” “โจรเผาบ้าน” “ขบวนการก่อการร้าย” “ขบวนการล้มเจ้า” แต่ “เอ๋อเหรอ” กับภาษา/วัฒนธรรมซาบซึ้งที่สะท้อนข้อเท็จจริง เช่น “สู้เพื่อเสรีภาพ” “สู้เพื่อประชาธิปไตย” “สู้เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ” “ไพร่ล้มอำมาตย์”
ไม่อนาทรร้อนใจกับการปิดสื่อ (ที่ไม่ใช่สื่อตัวแทนความเห็นของฝ่ายตน) กับการจับนักวิชาการที่สู้เพื่อเสรีภาพไปคุมขังในค่ายทหารโดยไม่ตั้งข้อหา ไม่ให้รับรู้ข่าวสาร ไม่ให้อ่านหนังสือ ฯลฯ
ตอนนี้ “วีรบุรุษประชาธิปไตยขวัญใจคนชั้นกลางในเมืองฯ” (สนธิ ลิ้มทองกุล) กำลังเรียกร้องให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” และขอใช้เวลาอีก 3 ปี ในการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปตำรวจ นี่คือข้อเสนอเพื่อ “ฆ่าซ้ำ” เสรีภาพหรืออำนาจในการกำหนดชะตากรรมตนเองของประชาชน!
คนต่างจังหวัด คนชนบทซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาพบว่าเขามีเสรีภาพและอำนาจกำหนดชะตากรรมของตนเองเมื่อเขาลงคะแนนเลือกรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีนโยบายทำประโยชน์ให้พวกเขา
ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยมีอำนาจในการกำหนดตัวเองที่ชัดเจน (แม้แต่อำนาจกำหนดตัวเองตามเจตนารมณ์ของกฎหมายการแจก สปก.4-01) แต่คนชั้นกลางในเมืองก็เรียกร้องรัฐประหารล้มรัฐบาลของพวกเขาด้วยข้ออ้างเรื่องคอร์รัปชัน ไม่จงรักภักดี เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการรัฐประหาร เขาจึงมาทวงอำนาจของเขาคืน แต่เขาต้องตาย ต้องบาดเจ็บ นี่คือความจริง เป็นความจริงของ “การฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของคนต่างจังหวัดและคนชนบท”
แต่ยิ่งฆ่า! เสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะยิ่งงอกงามและแข็งแกร่ง ขณะที่เสรีภาพ (จากสัญชาตญาณอย่างสัตว์) และความเป็นมนุษย์ของ “ผู้ฆ่า” และ “กองเชียร์ให้ฆ่า” นับวันจะเสื่อมทรุดและสูญสลาย!
ปล. สื่อ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ และนักวิชาการ “ผู้มีอำนาจตัดสิน” ทั้งหลายครับ! ทำไมพวกท่านเฉยเมยต่อ “การฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์” หน้าที่ของพวกท่านคือการปกป้อง “อะไร...” กันครับ?
Sun, 2010-05-30 13:59
นักปรัชญาชายขอบ
ไม่ว่าจะมองจากภูมิปัญญาใดในโลก เราย่อมเห็นความจริงว่า เสรีภาพ ความเป็นมนุษย์ และความเป็นสังคมอารยะ คือสิ่งดีงามที่สนับสนุนส่งเสริมกันและกัน
คานท์ (Immanuel Kant) กล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สองโลก” โลกหนึ่งคือโลกของสัญชาตญาณ และอารมณ์ความรู้สึก เมื่อมนุษย์ถูกกำกับชี้นำด้วยสัญชาตญาณและอารมณ์ความรู้สึก โลกของเขาก็ไม่ต่างจากโลกของสัตว์โดยทั่วไป อีกโลกหนึ่งคือโลกของเหตุผล เมื่อมนุษย์ถูกกำกับชี้นำโดยเหตุผล เขาจะมีเสรีภาพจากสัญชาตญาณและอารมณ์ความรู้สึก และด้วยการมีเสรีภาพดังกล่าวจึงทำให้เขาตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆอย่างมีศีลธรรม
ในทัศนะของรุสโซ (Jean-Jaques Rousseau) มนุษย์เกิดมามีเสรี หากเอาเสรีภาพของไปจากมนุษย์ เขาก็จะไม่สามารถที่จะมีการกระทำที่มีศีลธรรม และไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่เลย นิทเช (Friedrich Wilhelm Nietzsche) เห็นว่า เสรีภาพหมายถึงการมีอำนาจในการกำหนดตัวเอง วาทะที่ว่า “พระเจ้าตายแล้ว” หมายความว่า ไม่มีอำนาจอื่นใดที่จะมากำหนดชะตากรรมของมนุษย์ได้นอกเหนือจากอำนาจของมนุษย์เอง ซาตร์ (Jean-Paul Sartre) ก็เห็นว่า เสรีภาพคือ “แก่นสาร” (essence) ของความเป็นมนุษย์ ชีวิตที่มีค่าคือชีวิตที่มีความกล้าหาญในการใช้เสรีภาพที่จะเลือกและรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าถูกต้องและพึงพอใจ
ขณะที่มิลล์ (John Stuart Mill) อธิบายว่า เสรีภาพในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็น คือพื้นฐานในการแสวงหาความจริง เพราะถ้าไม่มีเสรีภาพดังกล่าวสังคมจะได้รับฟังแต่ “เสียงข้างเดียว” เมื่อมีแต่เสียงข้างเดียวก็ตัดสินถูก-ผิด จริง-เท็จ ไม่ได้ เพราะไม่สามารถเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง เหตุผล ฯลฯ จาก “เสียงที่แตกต่าง” ได้
ส่วนมาร์กซ์ (Karl Marx) เห็นว่า เสรีภาพหมายถึงเสรีภาพของสังคมที่สามารถปลดแอกตัวเองจากระบบกดขี่ต่างๆ เช่น ระบบชนชั้น ระบบการผลิตแบบนายทุน ทำให้สังคมมีอำนาจในการกำหนดตนเองให้เป็นสังคมที่มีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ และอื่นๆ
พุทธศาสนาเองก็มองว่า เสรีภาพมีสองด้านคือ ด้านหนึ่งคือความเป็นอิสระจากพันธนาการภายใน หรือเป็นอิสระจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความเกลียดชัง และความโง่เขลา อีกด้านหนึ่งคือความเป็นอิสระจากพันธนาการภายนอก เช่น ความยากจน ความเจ็บป่วย การถูกกดขี่เอาเปรียบในด้านต่างๆ
ฉะนั้น ไม่ว่าจะมองจากภูมิปัญญาใดๆก็ตาม เสรีภาพคือแก่นสารสำคัญสูงสุดที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่แท้ ทำให้สังคมเป็นสังคมอารยะ เป็นสังคมที่อยู่กันด้วยสัจจะ ศีลธรรม ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ และอื่นๆ
แต่ถึงแม้มนุษย์จะประกาศ “คุณค่า” ของเสรีภาพดังกล่าวนั้นมาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว สังคมไทยในยุคต้นศตวรรษที่ 21 ปี 2010 ยังอยู่ใน “ยุคโศกนาฏกรรมการเข่นฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์”
สังคมนี้ทนอยู่ได้อย่างไร กับการอยู่ในอำนาจต่อไปของ “รัฐบาล 86 ศพ” (ข้อมูลจากศูนย์เอราวัณ) เชื่อถือได้อย่างไรว่ารัฐบาลเช่นนี้จะนำพาประเทศไปสู่ความปรองดอง ไม่ใช่ว่าประเทศนี้ไม่ต้องการความปรองดอง แต่เราจะเชื่อถือ “รัฐบาล 86 ศพ” ได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่เขาทำมันตรงกันข้ามกันตลอดมา
เขาปรองดองด้วยการ “ฆ่าเสรีภาพ” ใช้ พรก.ฉุกเฉินปิดสื่อที่เสนอความเห็นต่าง โดยอ้างว่าสื่อเหล่านั้นบิดเบือนข้อเท็จจริง และปลุกเร้าความรุนแรง แต่ไม่ปิดสื่อฝ่ายที่สนับสนุนตนเองที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและปลุกเร้าความรุนแรงมานานยิ่งกว่า แถมยังยึด “สื่อของรัฐ” (ไม่ใช่ของรัฐบาล) เป็น “กระบอกเสียง” บิดเบือนข้อเท็จจริงและใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา
ฟรีทีวีหรือสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่ก็กลายเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล (หลังคนเสื้อแดงกลับบ้าน ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นแต่ข่าวการพื้นฟูเยียวยาชาวกรุงเทพฯ และการจะเดินหน้าแผนปรองดอง แต่ไม่มีข่าวการเยียวยา การให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิต ญาติมิตร และชะตากรรมของคนเสื้อแดง เสมือนว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่คนใน “รัฐเดียวกัน”)
นี่คือปรากฏการณ์ของการฆ่าเสรีภาพทางการพูดและการแสดงความคิดเห็น และมันทำให้ “ความจริงตายแล้ว” ตั้งนานก่อนที่จะเกิดสงครามกลางเมืองi
ไม่ต้องพูดถึงเสรีภาพที่จะมีอำนาจกำหนดชะตากรรมตัวเองของประชาชนที่ถูกทำลายไปแล้วตั้งแต่รัฐประหาร 2549 เมื่อคนเสื้อแดงกลับมาทวงคืน ผลก็คือความตายของ 86 ชีวิต และบาดเจ็บอีกเกือบสองพันคน การเผาเมือง และความแตกแยกร้าวลึกยิ่งกว่าเดิม!
คนกรุงเทพฯ ประทับใจกับ “ภาษา/วัฒนธรรมซาบซึ้ง” แบบดัดจริต เช่น “บ้านของพ่อ” (ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา แผ่นดินนี้เป็นของเราทุกคน) “ไล่พ่อออกจากบ้าน” “โจรเผาบ้าน” “ขบวนการก่อการร้าย” “ขบวนการล้มเจ้า” แต่ “เอ๋อเหรอ” กับภาษา/วัฒนธรรมซาบซึ้งที่สะท้อนข้อเท็จจริง เช่น “สู้เพื่อเสรีภาพ” “สู้เพื่อประชาธิปไตย” “สู้เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ” “ไพร่ล้มอำมาตย์”
ไม่อนาทรร้อนใจกับการปิดสื่อ (ที่ไม่ใช่สื่อตัวแทนความเห็นของฝ่ายตน) กับการจับนักวิชาการที่สู้เพื่อเสรีภาพไปคุมขังในค่ายทหารโดยไม่ตั้งข้อหา ไม่ให้รับรู้ข่าวสาร ไม่ให้อ่านหนังสือ ฯลฯ
ตอนนี้ “วีรบุรุษประชาธิปไตยขวัญใจคนชั้นกลางในเมืองฯ” (สนธิ ลิ้มทองกุล) กำลังเรียกร้องให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” และขอใช้เวลาอีก 3 ปี ในการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปตำรวจ นี่คือข้อเสนอเพื่อ “ฆ่าซ้ำ” เสรีภาพหรืออำนาจในการกำหนดชะตากรรมตนเองของประชาชน!
คนต่างจังหวัด คนชนบทซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาพบว่าเขามีเสรีภาพและอำนาจกำหนดชะตากรรมของตนเองเมื่อเขาลงคะแนนเลือกรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีนโยบายทำประโยชน์ให้พวกเขา
ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยมีอำนาจในการกำหนดตัวเองที่ชัดเจน (แม้แต่อำนาจกำหนดตัวเองตามเจตนารมณ์ของกฎหมายการแจก สปก.4-01) แต่คนชั้นกลางในเมืองก็เรียกร้องรัฐประหารล้มรัฐบาลของพวกเขาด้วยข้ออ้างเรื่องคอร์รัปชัน ไม่จงรักภักดี เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการรัฐประหาร เขาจึงมาทวงอำนาจของเขาคืน แต่เขาต้องตาย ต้องบาดเจ็บ นี่คือความจริง เป็นความจริงของ “การฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของคนต่างจังหวัดและคนชนบท”
แต่ยิ่งฆ่า! เสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะยิ่งงอกงามและแข็งแกร่ง ขณะที่เสรีภาพ (จากสัญชาตญาณอย่างสัตว์) และความเป็นมนุษย์ของ “ผู้ฆ่า” และ “กองเชียร์ให้ฆ่า” นับวันจะเสื่อมทรุดและสูญสลาย!
ปล. สื่อ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ และนักวิชาการ “ผู้มีอำนาจตัดสิน” ทั้งหลายครับ! ทำไมพวกท่านเฉยเมยต่อ “การฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์” หน้าที่ของพวกท่านคือการปกป้อง “อะไร...” กันครับ?
RED LETTER- จำนวนข้อความ : 266
Join date : 24/09/2009
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ