ฮิวแมนไรท์วอทช์ซัด"อภิสิทธิ์"ละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรง...
หน้า 1 จาก 1
ฮิวแมนไรท์วอทช์ซัด"อภิสิทธิ์"ละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรง...
ฮิวแมนไรท์วอทช์ซัด"อภิสิทธิ์"ละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรง จนสถานการณ์ถดถอยอย่างหนักในปี52
องค์ การฮิวแมนไรท์วอทช์ประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนประจำปี 2552 ในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก ระบุรัฐบาลของอภิสิทธิ์ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก แทบไม่ได้ทำตามคำสัญญาเคยกล่าวไว้ว่า จะให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน และหลักกฏหมายระหว่างประเทศเลย
แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการแผนกเอเชียขององค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวเมื่อวันที่ 21 มกราคมตามเวลาท้องถิ่นในนนครนิวยอร์ค สหรับอเมริกาว่า "ถึง แม้บางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึงสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของนายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาลชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชน และนิติธรรมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง"
องค์ การฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่า การท้าทายจากกลุ่มคนเสื้อแดงในเครือข่ายของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่งชาติ (นปช.) ทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากกองทัพมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะรักษาความอยู่รอดทางการเมืองของตน โดยการตอบโต้ต่อการชุมนุมประท้วงที่มีการใช้ความรุนแรงของกลุ่ม นปช. ที่พัทยา และกรุงเทพฯ นั้น รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 และ 12 เมษายน ตามลำดับ มีการระดมกำลังทหารมาสลายการชุมนุมประท้วง โดยใช้แก๊สน้ำตา และกระสุนจริงยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วง การปะทะกันระกว่างผู้ประท้วงกลุ่ม นปช., ทหาร และประชาชนกลุ่มต่างๆ ในกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 13 เมษายน ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 123 คน และเสียชีวิต 2 คน
การที่รัฐบาลมี "สองมาตรฐาน" ในการบังคับใช้กฏหมายทำให้ความตึงเครียด และการแบ่งขั้วทางการเมืองทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยขณะที่แกนนำ และสมาชิกของกลุ่ม นปช. ถูกจับกุม, คุมขัง และดำเนินคดีภายหลังจากที่มีการสลายการชุมนุมประท้วงนั้น รัฐบาลกลับเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องในสังคมที่ต้องการให้มีการสอบสวนอย่าง เป็นกลางเกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมือง และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเกิดจากการกระทำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ในระหว่างการชุมนุมประท้วงเมื่อปี 2551 ที่รวมถึงการยึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ การชุมนุมประท้วงของ พธม. มีส่วนสร้างเงื่อนไขที่ช่วยให้นายอภิสิทธิ์ก้าวขึ้นสู่อำนาจได้สำเร็จ ความล่าช้าในการดำเนินคดีต่อแกนนำ และสมาชิกของ พธม. ทำให้เกิดความเชื่อในหมู่สาธารณชนว่า พธม. มีภูมิคุ้มกันต่อการรับผิดทางกฏหมาย
สำหรับ สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีปัญหาความรุนแรง และการก่อความไม่สงบโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมาตั้งแต่ปี 2547 นั้น รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ปล่อยให้กองทัพสามารถใช้อำนาจได้โดยไม่ต้องเกรงกลัว ต่อการรับผิดชอบใดๆ โดยในรอบปีที่ผ่านมายังไม่มีการลงโทษทางอาญาต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หน่วยต่างๆ ที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนเลย ซึ่งรวมถึงกรณีที่อื้อฉาว เช่น เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ, เหตุการณ์ตากใบ, การทรมาน และการฆาตกรรมอิหม่ามยะผา กาเซ็ง และเหตุการณ์กราดยิงที่มัสยิดอัลฟาร์กอน (มัสยิดบ้านไอปาแย)
นอกจากนี้ รัฐบาลยังล้มเหลวในการสร้างระบบการควบคุมที่มีประสิทธิภาพของพลเรือนเพื่อ ตรวจสอบการใช้อำนาจของกองทัพภายใต้กฏหมายความมั่นคงพิเศษ โดยเฉพาะกระบวนการพิจารณาต่ออายุสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาค ใต้แต่ละครั้งนั้น ปรากฏว่า ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจังเลย
สภาวะ เช่นนี้เปิดทางให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในเครือข่ายของขบวนการบีอาร์เอ็น -โคออร์ดิเนตสามารถนำมาใช้เป็นเงื่อนไขในการแสวงหาสมาชิก และแนวร่วมผู้สนับสนุนใหม่ๆ รวมยังยังใช้เป็นเหตุผลในการก่อความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 3,900 คนแล้ว
ในปี 2552 รัฐบาลล้มเหลวในการลงโทษเจ้า หน้าที่ตำรวจที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ถึงแม้นายอภิสิทธิ์จะคัดค้านแนวทางการใช้ความรุนแรงปราบปรามยาเสพติดในแบบ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แต่รัฐบาลก็ไม่เต็มใจที่จะดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อที่จะลงโทษทาง อาญาต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ "ฆ่าตัดตอน" ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 2,500 คนระหว่างที่มีการทำสงครามต่อต้านยาเสพติดเมื่อปี 2546 รวมทั้งยังไม่มีการตรวจสอบ และลงโทษอย่างเอาจริงเอาจังต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อำนาจโดยมิชอบ และละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีอื่นๆ ด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังไม่สามารถดำเนินการต่อการ “ดื้อแพ่ง” ของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เสนอให้ดำเนินคดีอาญาและลงโทษทางวินัยต่ออดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมประท้วงของ พธม. เมื่อวันที่ 7ตุลาคม 2551 ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 443 คน และเสียชีวิต 2 คน
แบรด อดัมส์ กล่าวว่า "ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการบังคับใช้กฏหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฏหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวได้ปกคลุมสังคมอินเตอร์เน็ต เนื่องจากการที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพิ่มระดับการจำกัดเสรีภาพในการแสดง ความคิดเห็น"
ในปี 2552 รัฐบาลใช้บทบัญญัติเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประมวลกฏหมายอาญา และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อปราบปรามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ และผู้ที่ต้องสงสัยว่า เป็นศัตรูของรัฐบาล โดยเมื่อเดือนมกราคม สุวิชา ท่าค้อ ถูกจับกุม และดำเนินคดี เนื่องจากเผยแพร่ความเห็นที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้เขาถูกพิพากษาให้จำคุก 10 ปี
ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคม ศาลตัดสินลงโทษดารณี ชาญเชิงศิลปกุล (ดา ตอร์ปิโด) ให้ถูกจำคุก 18 ปี เนื่องจากปราศัยดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ในระหว่างการชุมนุมประท้วงของ นปช. โดยมีรายงานว่า เธอถูกแยกขังเดี่ยวอยู่ที่เรือนจำลาดยาวระยะหนึ่ง และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ออกไปรับการรักษาอาการขากรรไกรอักเสบที่โรง พยาบาลนอกเรือนจำตามคำแนะนำของแพทย์ มาตรการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ทำให้ผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลจำนวน หนึ่งหลบหนีออกนอกประเทศไทย เพื่อที่จะไม่ถูกตั้งข้อหา และดำเนินคดีในลักษณะเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบ และสอดแนมการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การจับกุมผู้ที่แปล และแสดงความคิดเห็นทางอินเตอร์เน็ต เกี่ยวกับรายงานข่าวของสื่อมวลชนต่างประเทศเกี่ยวกับสุขภาพของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งยังมีการปิดหน้าเว็บไซต์ไปมากกว่า 18,000 หน้า โดยกล่าวหาว่า มีเนื้อหาที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ หรือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ
องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่า ในปี 2552 รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ได้ละเมิดพันธะของประเทศไทยเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้ ลี้ภัย และผู้แสวงหาความคุ้มครองตามกฏหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง
รัฐบาลอนุญาตให้กองทัพดำเนินการผลักดันส่งตัวชาวม้งที่เป็นผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาความคุ้มครองมากกว่า 4,600 คนกลับไปประเทศลาว ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากนานาชาติ ซึ่งรวมถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ และเลขาธิการสหประชาชาติ
องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์มีข้อสงสัยเกี่ยวกับคำอ้างของนายอภิสิทธิ์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลคนอื่นๆ ที่กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นบนพื้นฐานของ "ความสมัครใจ" ทั้งนี้ตลอดรอบปีที่ผ่านมา ทหารที่ดูแลค่ายห้วยน้ำขาวได้จำกัดความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมด้านเสบียง อาหาร และการรักษาพยาบาลที่องค์กรเอกชนจัดให้กับชาวม้ง จนถึงขั้นที่ทำให้องค์การแพทย์ไร้พรมแดน ตัดสินใจถอนตัวออกจากค่ายห้วยน้ำขาวเมื่อเดือนพฤษภาคม 2552
ทั้งนี้ ในการผลักดันชาวม้งกลับครั้งใหญ่เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมานั้น ได้มีการระดมกำลังทหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหน่วยต่างๆ มากกว่า 5,000 คนไปยังค่ายห้วยน้ำขาว และมีการปิดกั้นพื้นที่โดยรอบอย่างเข้มงวดไม่ให้สื่อมวลชน และผู้สังเกตการณ์เข้าไปใกล้ รวมทั้งยังมีการใช้อุปกรณ์รบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในค่ายห้วยน้ำ ขาว เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวม้งติดต่อกับโลกภายนอก
ขณะที่แกนนำชาวม้งถูกประกบตัวไม่ให้เคลื่อนไหวต่อต้านการส่งกลับ มาตรการต่างๆ เหล่านี้มีลักษณะของการข่มขู่ และบีบบังคับอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำอ้างของรัฐบาลเรื่อง "ความสมัครใจ"
ส่วนอีกกรณีหนึ่งที่รัฐบาลดำเนินนโยบายที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาความคุ้มครองในปี 2552 นั้น เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม โดยนายอภิสิทธิ์ในฐานะประธานที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสกัดกั้นเรือที่บรรทุกชาวโรฮิงญาจาก ประเทศพม่า และประเทศบังคลาเทศที่พยายามเดินทางเข้ามาในน่านน้ำของประเทศไทย โดยกองทัพเรือสามารถจับกุมเรือที่บรรทุกชาวโรฮิงญาได้เป็นจำนวนมาก และได้ลากจูงเรือเหล่านั้นออกไปยังน่านน้ำสากล โดยไม่ได้จัดหาอาหาร และน้ำดื่มไปให้อย่างเพียงพอ ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานะของผู้ลี้ภัย ปี 2594 หรือพิธีสารปี 2510 แต่ประเทศไทยก็มีพันธะภายใต้กฏหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ห้ามไม่ให้ ส่งตัวบุคคลไปยังที่ใดๆ ซึ่งจะทำให้ชีวิต หรือเสรีภาพของบุคคลดังกล่าวเสี่ยงต่ออันตราย
องค์ การฮิวแมนไรท์วอทช์ประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนประจำปี 2552 ในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก ระบุรัฐบาลของอภิสิทธิ์ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก แทบไม่ได้ทำตามคำสัญญาเคยกล่าวไว้ว่า จะให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน และหลักกฏหมายระหว่างประเทศเลย
แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการแผนกเอเชียขององค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวเมื่อวันที่ 21 มกราคมตามเวลาท้องถิ่นในนนครนิวยอร์ค สหรับอเมริกาว่า "ถึง แม้บางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึงสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของนายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาลชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชน และนิติธรรมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง"
องค์ การฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่า การท้าทายจากกลุ่มคนเสื้อแดงในเครือข่ายของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่งชาติ (นปช.) ทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากกองทัพมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะรักษาความอยู่รอดทางการเมืองของตน โดยการตอบโต้ต่อการชุมนุมประท้วงที่มีการใช้ความรุนแรงของกลุ่ม นปช. ที่พัทยา และกรุงเทพฯ นั้น รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 และ 12 เมษายน ตามลำดับ มีการระดมกำลังทหารมาสลายการชุมนุมประท้วง โดยใช้แก๊สน้ำตา และกระสุนจริงยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วง การปะทะกันระกว่างผู้ประท้วงกลุ่ม นปช., ทหาร และประชาชนกลุ่มต่างๆ ในกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 13 เมษายน ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 123 คน และเสียชีวิต 2 คน
การที่รัฐบาลมี "สองมาตรฐาน" ในการบังคับใช้กฏหมายทำให้ความตึงเครียด และการแบ่งขั้วทางการเมืองทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยขณะที่แกนนำ และสมาชิกของกลุ่ม นปช. ถูกจับกุม, คุมขัง และดำเนินคดีภายหลังจากที่มีการสลายการชุมนุมประท้วงนั้น รัฐบาลกลับเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องในสังคมที่ต้องการให้มีการสอบสวนอย่าง เป็นกลางเกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมือง และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเกิดจากการกระทำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ในระหว่างการชุมนุมประท้วงเมื่อปี 2551 ที่รวมถึงการยึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ การชุมนุมประท้วงของ พธม. มีส่วนสร้างเงื่อนไขที่ช่วยให้นายอภิสิทธิ์ก้าวขึ้นสู่อำนาจได้สำเร็จ ความล่าช้าในการดำเนินคดีต่อแกนนำ และสมาชิกของ พธม. ทำให้เกิดความเชื่อในหมู่สาธารณชนว่า พธม. มีภูมิคุ้มกันต่อการรับผิดทางกฏหมาย
สำหรับ สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีปัญหาความรุนแรง และการก่อความไม่สงบโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมาตั้งแต่ปี 2547 นั้น รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ปล่อยให้กองทัพสามารถใช้อำนาจได้โดยไม่ต้องเกรงกลัว ต่อการรับผิดชอบใดๆ โดยในรอบปีที่ผ่านมายังไม่มีการลงโทษทางอาญาต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หน่วยต่างๆ ที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนเลย ซึ่งรวมถึงกรณีที่อื้อฉาว เช่น เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ, เหตุการณ์ตากใบ, การทรมาน และการฆาตกรรมอิหม่ามยะผา กาเซ็ง และเหตุการณ์กราดยิงที่มัสยิดอัลฟาร์กอน (มัสยิดบ้านไอปาแย)
นอกจากนี้ รัฐบาลยังล้มเหลวในการสร้างระบบการควบคุมที่มีประสิทธิภาพของพลเรือนเพื่อ ตรวจสอบการใช้อำนาจของกองทัพภายใต้กฏหมายความมั่นคงพิเศษ โดยเฉพาะกระบวนการพิจารณาต่ออายุสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาค ใต้แต่ละครั้งนั้น ปรากฏว่า ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจังเลย
สภาวะ เช่นนี้เปิดทางให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในเครือข่ายของขบวนการบีอาร์เอ็น -โคออร์ดิเนตสามารถนำมาใช้เป็นเงื่อนไขในการแสวงหาสมาชิก และแนวร่วมผู้สนับสนุนใหม่ๆ รวมยังยังใช้เป็นเหตุผลในการก่อความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 3,900 คนแล้ว
ในปี 2552 รัฐบาลล้มเหลวในการลงโทษเจ้า หน้าที่ตำรวจที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ถึงแม้นายอภิสิทธิ์จะคัดค้านแนวทางการใช้ความรุนแรงปราบปรามยาเสพติดในแบบ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แต่รัฐบาลก็ไม่เต็มใจที่จะดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อที่จะลงโทษทาง อาญาต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ "ฆ่าตัดตอน" ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 2,500 คนระหว่างที่มีการทำสงครามต่อต้านยาเสพติดเมื่อปี 2546 รวมทั้งยังไม่มีการตรวจสอบ และลงโทษอย่างเอาจริงเอาจังต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อำนาจโดยมิชอบ และละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีอื่นๆ ด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังไม่สามารถดำเนินการต่อการ “ดื้อแพ่ง” ของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เสนอให้ดำเนินคดีอาญาและลงโทษทางวินัยต่ออดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมประท้วงของ พธม. เมื่อวันที่ 7ตุลาคม 2551 ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 443 คน และเสียชีวิต 2 คน
แบรด อดัมส์ กล่าวว่า "ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการบังคับใช้กฏหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฏหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวได้ปกคลุมสังคมอินเตอร์เน็ต เนื่องจากการที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพิ่มระดับการจำกัดเสรีภาพในการแสดง ความคิดเห็น"
ในปี 2552 รัฐบาลใช้บทบัญญัติเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประมวลกฏหมายอาญา และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อปราบปรามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ และผู้ที่ต้องสงสัยว่า เป็นศัตรูของรัฐบาล โดยเมื่อเดือนมกราคม สุวิชา ท่าค้อ ถูกจับกุม และดำเนินคดี เนื่องจากเผยแพร่ความเห็นที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้เขาถูกพิพากษาให้จำคุก 10 ปี
ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคม ศาลตัดสินลงโทษดารณี ชาญเชิงศิลปกุล (ดา ตอร์ปิโด) ให้ถูกจำคุก 18 ปี เนื่องจากปราศัยดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ในระหว่างการชุมนุมประท้วงของ นปช. โดยมีรายงานว่า เธอถูกแยกขังเดี่ยวอยู่ที่เรือนจำลาดยาวระยะหนึ่ง และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ออกไปรับการรักษาอาการขากรรไกรอักเสบที่โรง พยาบาลนอกเรือนจำตามคำแนะนำของแพทย์ มาตรการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ทำให้ผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลจำนวน หนึ่งหลบหนีออกนอกประเทศไทย เพื่อที่จะไม่ถูกตั้งข้อหา และดำเนินคดีในลักษณะเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบ และสอดแนมการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การจับกุมผู้ที่แปล และแสดงความคิดเห็นทางอินเตอร์เน็ต เกี่ยวกับรายงานข่าวของสื่อมวลชนต่างประเทศเกี่ยวกับสุขภาพของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งยังมีการปิดหน้าเว็บไซต์ไปมากกว่า 18,000 หน้า โดยกล่าวหาว่า มีเนื้อหาที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ หรือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ
องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่า ในปี 2552 รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ได้ละเมิดพันธะของประเทศไทยเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้ ลี้ภัย และผู้แสวงหาความคุ้มครองตามกฏหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง
รัฐบาลอนุญาตให้กองทัพดำเนินการผลักดันส่งตัวชาวม้งที่เป็นผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาความคุ้มครองมากกว่า 4,600 คนกลับไปประเทศลาว ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากนานาชาติ ซึ่งรวมถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ และเลขาธิการสหประชาชาติ
องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์มีข้อสงสัยเกี่ยวกับคำอ้างของนายอภิสิทธิ์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลคนอื่นๆ ที่กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นบนพื้นฐานของ "ความสมัครใจ" ทั้งนี้ตลอดรอบปีที่ผ่านมา ทหารที่ดูแลค่ายห้วยน้ำขาวได้จำกัดความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมด้านเสบียง อาหาร และการรักษาพยาบาลที่องค์กรเอกชนจัดให้กับชาวม้ง จนถึงขั้นที่ทำให้องค์การแพทย์ไร้พรมแดน ตัดสินใจถอนตัวออกจากค่ายห้วยน้ำขาวเมื่อเดือนพฤษภาคม 2552
ทั้งนี้ ในการผลักดันชาวม้งกลับครั้งใหญ่เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมานั้น ได้มีการระดมกำลังทหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหน่วยต่างๆ มากกว่า 5,000 คนไปยังค่ายห้วยน้ำขาว และมีการปิดกั้นพื้นที่โดยรอบอย่างเข้มงวดไม่ให้สื่อมวลชน และผู้สังเกตการณ์เข้าไปใกล้ รวมทั้งยังมีการใช้อุปกรณ์รบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในค่ายห้วยน้ำ ขาว เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวม้งติดต่อกับโลกภายนอก
ขณะที่แกนนำชาวม้งถูกประกบตัวไม่ให้เคลื่อนไหวต่อต้านการส่งกลับ มาตรการต่างๆ เหล่านี้มีลักษณะของการข่มขู่ และบีบบังคับอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำอ้างของรัฐบาลเรื่อง "ความสมัครใจ"
ส่วนอีกกรณีหนึ่งที่รัฐบาลดำเนินนโยบายที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาความคุ้มครองในปี 2552 นั้น เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม โดยนายอภิสิทธิ์ในฐานะประธานที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสกัดกั้นเรือที่บรรทุกชาวโรฮิงญาจาก ประเทศพม่า และประเทศบังคลาเทศที่พยายามเดินทางเข้ามาในน่านน้ำของประเทศไทย โดยกองทัพเรือสามารถจับกุมเรือที่บรรทุกชาวโรฮิงญาได้เป็นจำนวนมาก และได้ลากจูงเรือเหล่านั้นออกไปยังน่านน้ำสากล โดยไม่ได้จัดหาอาหาร และน้ำดื่มไปให้อย่างเพียงพอ ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานะของผู้ลี้ภัย ปี 2594 หรือพิธีสารปี 2510 แต่ประเทศไทยก็มีพันธะภายใต้กฏหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ห้ามไม่ให้ ส่งตัวบุคคลไปยังที่ใดๆ ซึ่งจะทำให้ชีวิต หรือเสรีภาพของบุคคลดังกล่าวเสี่ยงต่ออันตราย
- Code:
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1264145288&grpid=&catid=01
สายตาชาวโลก
กรณีองค์การ ฮิวแมนไรต์วอตช์ ออกรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนประจำปี 2552 ในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก โดยระบุว่า รัฐบาลของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ระบุรายละเอียดถึงเรื่องของการไร้มาตรฐานหรือสองมาตรฐานในการบริหารประเทศ จนทำให้เกิดความแตกแยกและขัดแย้งอย่างชัดเจน
งามหน้าดีพิลึก
ก่อนหน้านี้ คงจะจำกันได้มีรายงานองค์การที่เกี่ยวข้องกับ ประชาธิปไตย บริจาคทุนในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศ ไทยมาแล้ว
ถูกมองว่าอยู่ในระดับเดียวกับประเทศด้อยพัฒนา
และ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลทำได้แค่ 2 ประการก็คือ แก้หน้าและแก้ตัว แต่ไม่เคยปรับปรุงภาพพจน์ของประเทศ ปล่อยให้อึมครึมมาโดยตลอด
อ่าน ข่าว คุณกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆว่า ฮิวแมนไรต์สำรวจไว้ตั้งแต่ก่อนรัฐบาลชุดนี้ หรือกระทั่ง คุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ออกมาแก้ตัวข้างๆคูๆว่า มีความคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง อ้างความเห็นรัฐบาลอเมริกาชื่นชอบรัฐบาลชุดนี้ เอา คนละเรื่องมาเป็นเรื่องเดียวกันหน้าตาเฉย
โดยเฉพาะการสลายการชุมนุม ของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา คุณสาทิตย์อ้างว่าได้รับคำชมเชยว่าไม่มีความสูญเสีย แล้วคุณสาทิตย์ก็โยงว่ามีการบิดเบือนข้อมูลจากฝ่ายที่เป็นศัตรูกับรัฐบาลส่ง ข้อมูลไปให้กับฮิวแมนไรต์ก็คงจะหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ และคนเสื้อแดงตามถนัด
ใน ทางสามัญสำนึก รายงานของฮิวแมนไรต์ เป็นรายงานประจำปี เมื่อสำรวจจากสถานการณ์ปีที่แล้วก็แปลว่าต้องเป็นพฤติกรรมของรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ จะไปโทษรัฐบาลอื่นๆก็คงเป็นไม่ได้
ไม่ควรจะมาตะแบง
นอก จากนี้ องค์การสากลอย่างฮิวแมนไรต์ คงไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุมห้า เพราะมีการันตีได้รับความเชื่อถือจากเกือบทุกประเทศทั่วโลกมานาน ไม่ใช่หน่วยงานเฉพาะกิจ หรือล็อบบี้ยีสต์ที่ไหน ถ้าไม่มีความแน่นอนเที่ยงตรงก็คงอยู่ไม่ได้จนถึงวันนี้
อยากให้ไป อ่านรายงานภาคภาษาอังกฤษ ที่ต้องถือว่าแรงพอสมควร เราฟังภาษาไทยคำว่า ไร้สิทธิมนุษยชน หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนมาจนชิน หรือคำว่า มาตรฐานไม่มีมาตรฐาน ไร้ มาตรฐาน สองมาตรฐานมาจนเป็นเรื่องธรรมดาซะแล้ว รวมทั้งการปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไม่มีมาตรฐาน
เราอาจจะชิน แต่ต่างชาติถือเป็นเรื่องใหญ่
โดย มารยาททางสังคม บ้านเราจะดูด้อยพัฒนาขนาดไหน ก็คงไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะมาคอยซ้ำเติมว่าเราด้อยพัฒนาอย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่การกระทำของเรากันเองนี่แหละ ที่ประจานตัวเองว่าเราด้อยพัฒนา จะ เสธ.แดง จะคนเสื้อแดงก็เป็นคนไทย ใช้อำนาจรัฐอำนาจของกฎหมายก็ควรจะอยู่ในขอบเขตที่พอดี.
หมัดเหล็ก
งามหน้าดีพิลึก
ก่อนหน้านี้ คงจะจำกันได้มีรายงานองค์การที่เกี่ยวข้องกับ ประชาธิปไตย บริจาคทุนในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศ ไทยมาแล้ว
ถูกมองว่าอยู่ในระดับเดียวกับประเทศด้อยพัฒนา
และ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลทำได้แค่ 2 ประการก็คือ แก้หน้าและแก้ตัว แต่ไม่เคยปรับปรุงภาพพจน์ของประเทศ ปล่อยให้อึมครึมมาโดยตลอด
อ่าน ข่าว คุณกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆว่า ฮิวแมนไรต์สำรวจไว้ตั้งแต่ก่อนรัฐบาลชุดนี้ หรือกระทั่ง คุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ออกมาแก้ตัวข้างๆคูๆว่า มีความคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง อ้างความเห็นรัฐบาลอเมริกาชื่นชอบรัฐบาลชุดนี้ เอา คนละเรื่องมาเป็นเรื่องเดียวกันหน้าตาเฉย
โดยเฉพาะการสลายการชุมนุม ของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา คุณสาทิตย์อ้างว่าได้รับคำชมเชยว่าไม่มีความสูญเสีย แล้วคุณสาทิตย์ก็โยงว่ามีการบิดเบือนข้อมูลจากฝ่ายที่เป็นศัตรูกับรัฐบาลส่ง ข้อมูลไปให้กับฮิวแมนไรต์ก็คงจะหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ และคนเสื้อแดงตามถนัด
ใน ทางสามัญสำนึก รายงานของฮิวแมนไรต์ เป็นรายงานประจำปี เมื่อสำรวจจากสถานการณ์ปีที่แล้วก็แปลว่าต้องเป็นพฤติกรรมของรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ จะไปโทษรัฐบาลอื่นๆก็คงเป็นไม่ได้
ไม่ควรจะมาตะแบง
นอก จากนี้ องค์การสากลอย่างฮิวแมนไรต์ คงไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุมห้า เพราะมีการันตีได้รับความเชื่อถือจากเกือบทุกประเทศทั่วโลกมานาน ไม่ใช่หน่วยงานเฉพาะกิจ หรือล็อบบี้ยีสต์ที่ไหน ถ้าไม่มีความแน่นอนเที่ยงตรงก็คงอยู่ไม่ได้จนถึงวันนี้
อยากให้ไป อ่านรายงานภาคภาษาอังกฤษ ที่ต้องถือว่าแรงพอสมควร เราฟังภาษาไทยคำว่า ไร้สิทธิมนุษยชน หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนมาจนชิน หรือคำว่า มาตรฐานไม่มีมาตรฐาน ไร้ มาตรฐาน สองมาตรฐานมาจนเป็นเรื่องธรรมดาซะแล้ว รวมทั้งการปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไม่มีมาตรฐาน
เราอาจจะชิน แต่ต่างชาติถือเป็นเรื่องใหญ่
โดย มารยาททางสังคม บ้านเราจะดูด้อยพัฒนาขนาดไหน ก็คงไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะมาคอยซ้ำเติมว่าเราด้อยพัฒนาอย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่การกระทำของเรากันเองนี่แหละ ที่ประจานตัวเองว่าเราด้อยพัฒนา จะ เสธ.แดง จะคนเสื้อแดงก็เป็นคนไทย ใช้อำนาจรัฐอำนาจของกฎหมายก็ควรจะอยู่ในขอบเขตที่พอดี.
หมัดเหล็ก
- Code:
http://www.thairath.co.th/column/pol/kaablook/60806
Similar topics
» นปช.ประกาศชุมนุมยืดเยื้อ
» ***“มติชน”กาง “เอกสารลับ กษิต”ส่งถึง“อภิสิทธิ์” ร่างแผนกำจัด"ทักษิณ"***
» จดหมายเปิดผนึกจาก"มนูญกฤติ" ถึง"เปรม ติณสูลานนท์" ว่าด้วยเรื่อง "คนชั่ว"
» เสื้อแดงบุกสภาค้นหา"สุเทพ"
» มารู้จักปท.จีน วันนี้กัน"ปฏิรูป"ก่อน"ปฎิวัติ" //ค้นคว้าจากคำพูดทักษิณ 20ตค52
» ***“มติชน”กาง “เอกสารลับ กษิต”ส่งถึง“อภิสิทธิ์” ร่างแผนกำจัด"ทักษิณ"***
» จดหมายเปิดผนึกจาก"มนูญกฤติ" ถึง"เปรม ติณสูลานนท์" ว่าด้วยเรื่อง "คนชั่ว"
» เสื้อแดงบุกสภาค้นหา"สุเทพ"
» มารู้จักปท.จีน วันนี้กัน"ปฏิรูป"ก่อน"ปฎิวัติ" //ค้นคว้าจากคำพูดทักษิณ 20ตค52
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ